ผู้ดี หมายถึงบุคคลผู้มีความประพฤติดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด คือ ทำดี พูดดี คิดดี..มีกิริยามารยาทสวยงาม น่ารัก น่าเคารพ น่านับถือยกย่อง..

ภาคผนวก 
สมบัติของผู้ดี 

คำว่า ผู้ดี หมายถึงบุคคลผู้มีความประพฤติดี 
ทั้งทางกาย ทางวาจาและทางความคิด 
คือ ทำดี พูดดี คิดดี

ผนวก ๑ 
ผู้ดี ย่อมรักษาความเรียบร้อย

กายจริยา คำว่า กายจริยา
คือ ทำดี เช่น เดินดี ยืนดี นั่งดี นอนดี
แยกออก ได้ดังนี้

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ใช้กิริยาข้ามกรายบุคคล เช่น เมื่อเดินเข้าใกล้ใครก็หลีกไปในระยะที่พอเหมาะ ไม่ยกมือยกเท้าให้กระทบใคร ไม่ชี้มือหรือยกมือให้ผ่านใคร หรือข้ามศีรษะใคร ไม่ว่าเขาจะนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่เหยียดเท้าใส่ใคร เมื่อท่านผู้ใหญ่นั่งอยู่ ไม่เดินเฉียดไป ต้องคลานไป หรือเดินก้มหลังไป 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่อาจเอื้อมในที่ต่ำสูง เช่น เมื่อผู้ใหญ่นั่งอยู่จะทำอะไรในที่สูง หรือจะหยิบอะไรในที่สูงกว่าท่าน ต้องขอประทานโทษท่านก่อนจึงทำและทั้งไม่ละลาบละล้วงอาจเอื้อมจับต้องของสูง เช่น ศีรษะ หรือหน้าตาใคร ๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของตน โดยผู้นั้นมิได้อนุญาตให้ทำเป็นอันขาด 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน หมายความว่า การที่จะถูกต้องตัวผู้อื่นนั้น ต้องระมัดระวังถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือคนที่ไม่ได้คุ้นเคยอย่างเพื่อนกัน 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่เสียดสีกระทบกระทั่งกายบุคคล หมายความว่า ตามปรกติร่างกายผู้อื่นนั้นไม่ควรถูกต้อง หากมีความจำเป็นจะต้องเสียดสีกระทบกระทั่ง เช่น ในยวดยานพาหนะ ต้องขอประทานโทษก่อนจึงเสียดสีไปได้เป็นต้น 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่ลุกนั่งเดินเหินให้พรวดพราดโดนผู้คนหรือสิ่งของแตกเสีย หมายความว่า ขณะที่เรานั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่ ก่อนที่จะเคลื่อนที่ไป เช่น จะลุกขึ้นเป็นต้น ต้องนึกก่อนว่าเราจะลุกไป จะไปทางไหน ตรวจดูให้รอบตัวก่อนว่า มีอะไรกีดขวางอยู่บ้าง เมื่อดูรอบคอบแล้วจึงค่อยลุกขึ้นเคลื่อนที่ไป เช่น นั่งอยู่ในโต๊ะเรียน เมื่อนึกก่อนได้เช่นนี้ ก็จะไม่มีเสียงโครมครามโดนโน่นโดนนี่ 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่ส่งของให้ผู้อื่น ด้วยกิริยาอันเสือกไสผลักโยน หมายความว่า เมื่อจะส่งของให้ใครต้องถือของหงายมือ แล้วส่งให้ถึงมือผู้รับ เช่น ตักบาตรก็ต้องตักด้วยความสุภาพเรียบร้อย 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่ผ่านหน้าหรือบังตาผู้อื่น เมื่อเขาดูสิ่งใดอยู่ เว้นแต่เป็นที่เฉพาะไป หมายความว่า เมื่อผู้อื่นกำลังยืนหรือนั่งดูสิ่งใดอยู่ เมื่อมีความจำเป็นจะต้องผ่านไปควรผ่านไปทางหลังท่าน ถ้าจำเป็นต้องผ่านกลางไปก็ควรขอประทานโทษเสียก่อนจึงไป 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่เอ็ดอึง เมื่อผู้อื่นทำกิจ หมายความว่า เมื่อผู้อื่นกำลังทำกิจอยู่ เมื่อจะเดินต้องค่อย ๆ เดิน เมื่อจะพูด ต้องค่อย ๆ พูด เพื่อให้เขาได้ทำโดยปลอดโปร่ง ขณะที่ผู้อื่นกำลังฟังอะไรอยู่ เช่น กำลังฟังครูสอน ฟังปาฐกถา ฟังพระเทศน์ กำลังดูละคร ฟังดนตรี เป็นต้น ต้องไม่พูดไม่คุยกัน หรือไม่ทำเสียงตึงตัง หรือเคาะโต๊ะเคาะพื้นให้มีเสียงเป็นที่รำคาญแก่ผู้อื่น 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่อึกทึกในเวลาประชุมสดับตรับฟัง หมายความว่า ขณะที่ผู้อื่นกำลังฟังอะไรอยู่ เช่น กำลังฟังครูสอน ฟังปาฐกถา ฟังเทศน์ กำลังดูละคร ฟังดนตรี เป็นต้น ต้องไม่พูดไม่คุยกัน หรือไม่ทำเสียงตึงตัง หรือ เคาะโต๊ะเคาะพื้นให้มีเสียงเป็นที่รำคาญแก่ผู้อื่น 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่แสดงกิริยาตึงตัง หรือพูดจาอึกทึกในบ้านแขก หมายความว่า เมื่อไปหาท่านถึงบ้านท่านไม่ควรทำให้มีเสียงตึงตัง หรือพูดจาส่งเสียงดังผิดปรกติ หรือดุดันขู่ตวาดผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นที่สะเทือนใจ 

วจีจริยา คำว่า วจีจริยา หมายความว่า การพูดจาให้เรียบร้อย แยกออกได้ดังนี้ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่สอดสวนวาจาหรือแย่งชิงพูด หมายความว่า ขณะที่ผู้อื่นกำลังพูดอยู่ ไม่ควรพูดสอดแทรกขึ้นในขณะนั้น ต้องรอให้ท่านพูดจบเสียก่อน หากจำเป็นจะต้องพูด ก็ต้องให้จบระยะหนึ่งแล้วขอประทานโทษก่อนจึงพูด ไม่ชิงกันพูด ไม่แข่งกันพูด ไม่พูดพร้อมกัน 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่พูดด้วยเสียงอันดังเหลือเกิน หมายความว่า เมื่อจะสนทนาปราศรัยกัน ต้องพูดด้วยน้ำเสียงตามปรกติ พอได้ยินชัดเจน อยู่ใกล้กันพูดค่อย ๆ ก็ได้ยิน 


(๓) ผู้ดีย่อมไม่ใช้เสียงตวาดหรือพูดจากระโชกกระชาก หมายความว่า เมื่อจะพูดกับใคร ๆ ต้องใช้เสียงตามปรกติ พอเหมาะพอควรแก่เรื่องและบุคคล ทำเสียงให้หนักแน่นและเยือกเย็น 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่ใช้วาจาอันหักหาญดึงดัน หมายความว่า เมื่อได้ฟังผู้อื่นพูดคลาดเคลื่อนปรารถนาจะคัดค้านก็ควรขอโทษก่อนจึงพูดคัดค้าน หรือ เมื่อจะให้ผู้ใดกระทำสิ่งไรก็ไม่ควรพูดจาหักหาญดึงดันเอาแต่ใจตนเป็นประมาณควรชี้แจงอย่างมีเหตุผลให้เขาเชื่อและกระทำตาม 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่ใช้ถ้อยคำอันหยาบคาย หมายความว่า ไม่ว่าจะพูดกับใคร ในเวลาใด ในสถานที่ใด ด้วยเรื่องอะไร ต้องพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ นุ่มนวล อ่อนหวาน จับใจ สบายหู 

มโนจริยา 
คำว่า มโนจริยา หมายความว่า การคิดนึกในทางที่ดี 
แยกออกได้ดังนี้

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส หมายความว่า ต้องทำใจให้ติดอยู่ในการงานที่กำลังทำอยู่ มุ่งทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ทำรวนเรจับจด คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ เห็นดีเห็นชอบเพียงชั่วขณะ หรือเมื่อได้ทำงานอะไรทำสำเร็จแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ทำหยิ่งยโสนึกว่าไม่มีใครสู้ได้ ต้องสะกดอกสะกดใจ มุ่งทำงานที่กำลังทำอยู่นั้นให้สำเร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น เรียนอยู่ในชั้นใดก็มุ่งให้ได้ความรู้สมชั้นที่เรียน เรียนอยู่ในชั่วโมงใดก็ตั้งใจเรียนให้ได้ความรู้ในชั่วโมงนั้น ไม่เอางานของชั่วโมงหนึ่งไปทำในชั่วโมงอื่น ไม่เอางานของวันหนึ่งไปทำในอีกวันหนึ่ง ทำงานให้เสร็จเป็นระยะตามที่มีอยู่ ตั้งใจแน่วแน่ลงในการงานนั้น ๆ 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่บันดาลโทสะให้เสียกิริยา หมายความว่า ต้องไม่แสดงความเดือดดาล ฉุนเฉียวพลุ่งพล่านด้วยอำนาจโทสะ ตามปรกติเราอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นครอบครัว เป็นบ้าน เป็นเมือง คนที่อยู่รวมกันเช่นนี้ ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา ไม่มากก็น้อย เข้าทำนองที่ว่า ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องอดทน เมื่อได้ประสบอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถูกเขาด่าว่าเสียดสีก่อนที่จะตอบต้องคิดเสียก่อน โบราณท่านสอนว่าให้นับสิบเสียก่อนจึงค่อยตอบ นี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจได้อย่างดี 

ผนวก ๒ 
ผู้ดี ย่อมไม่ทำอุจาดลามก

   กายจริยา ในข้อนี้หมายถึงการแสดงอาการที่กระทำด้วยกายในทางที่เสียหายซึ่งผู้ดีไม่ควรทำไม่ว่าในที่ใด ๆ ทั้งสิ้น แยกออกได้ดังนี้ 

(๑) ผู้ดีย่อมใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวสะอาดและแต่งโดยเรียบร้อย หมายความว่า เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มนั้นจะเป็นชนิดใดก็ตาม ต้องระวังไม่ให้เหม็นสาบ จนเข้าใกล้ใครเป็นที่รำคาญของคนทั้งหลาย การแต่งตัวก็นุ่งห่มให้สมส่วน เป็นนักเรียนก็ต้องแต่งแบบนักเรียน เป็นเด็กก็ต้องแต่งอย่างเด็ก ไปงานอะไรก็ต้องแต่งให้เหมาะแก่งานนั้น ไม่ปล่อยให้มีอะไรน่ารังเกียจ เช่น เปรอะเปื้อนสกปรกโสมม หรือผิดระเบียบ ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยตามโอกาสนั้น ๆ 


(๒) ผู้ดีย่อมไม่แต่งตัวในที่แจ้ง หมายความว่า การแต่งตัวนั้นมีความจำเป็นจะต้องเปลือยกายบางส่วน เช่น ก่อนสวมเสื้อต้องเปลือยกายส่วนนั้น แล้วผลัดของเก่าออกเอาของใหม่แทน ในเวลาเช่นนี้ควรทำในที่มิดชิดเพื่อมิให้เป็นที่อุจาดตา 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่จิ้มควักล้วงแคะแกะเการ่างกายในที่ชุมชน หมายความว่า ขณะที่อยู่ในที่ชุมชนไม่จิ้มฟันในโต๊ะอาหาร ไม่แปรงฟันในโต๊ะอาหาร ไม่ควักล้วงภายในเครื่องแต่งตัวตามร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่แคะแกะเการ่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง หากมีความจำเป็นต้องปลีกตัวออกจากที่ประชุมนั้นก่อนจึงทำ 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่กระทำการที่ควรจะทำในที่ลับในที่แจ้ง หมายความว่า กิริยาอาการบางอย่างซึ่งควรจะทำในที่ลับ ก็ต้องทำในที่ลับ อย่าไปทำในที่แจ้ง อาจกลายเป็นลามกอนาจารก็ได้ แม้มีความจำเป็นก็ควรหาทางหลีกเลี่ยงเท่าที่สามารถจะทำได้ เช่น การถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ เป็นต้น ซึ่งเป็นการที่ควรต้องทำในที่ลับ ก็ควรทำในที่ลับ เมื่อมีความจำเป็นแต่หาห้องลับไม่ได้ก็ควรหาที่กำบังคน เพื่อมิให้เป็นการอุจาดตาของผู้พบเห็น ดังนี้เป็นต้น แม้การอย่างอื่นก็โดยทำนองนี้ 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่หาวเรอให้ปรากฏในที่ชุมชน หมายความว่า อาการที่หาวเรอนั้นเป็นการแสดงออกทางธรรมชาติ แต่เพราะเหตุที่การหาวเรอนั้นต้องอ้าปาก ปากเปิดมองเห็นอวัยวะภายในปาก ขณะที่อยู่ในที่ประชุมแสดงอาการอย่างนั้น ก็ทำให้ผู้ที่เห็นเกิดความสะอิดสะเอียน เหตุนี้จึงควรระมัดระวังไว้เสมอ หากอาการเช่นนั้นจะมีขึ้น ก็ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ก่อนหรือปลีกตัวออกจากหมู่ชั่วขณะหนึ่ง ยิ่งในขณะที่กำลังรับประทานอาหารด้วยแล้วยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่จามด้วยเสียงอันดังและโดยไม่ป้องกำบัง หมายความว่า การไอจามเป็นอาการอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแก่คนทั่วไป เมื่อจะไอหรือจามไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ๆ ต้องพยายามให้เสียงไอจามนั้นเบาที่สุดที่จะเบาได้ และต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปิดปากไว้ให้ทันท่วงที ถ้าสมารถจะเอาผ้านั้นชุบน้ำระเหยอย่างใดอย่างหนึ่งได้ก็ยิ่งดีมาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการกระจายของโรคหรือป้องกันมิให้ฝอยน้ำลายกระเซ็นออกไปถูกต้องใครหรือสิ่งใดได้ 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่บ้วนขากด้วยเสียงอันดังหรือให้เปรอะเปื้อนเป็นที่รังเกียจ หมายความว่า ตามปรกติน้ำลายไม่ควรบ้วนไม่ว่าในที่ใด ๆ เว้นแต่เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ไม่ควรให้เสียงถ่มขากเลยเป็นอันขาด แม้ที่บ้วนเล่า ก็ต้องดูว่าควรหรือไม่ควร ถ้าอยู่ในรถ ในเรือโดยสาร ไม่ควรบ้วนหรือถ่มทางหน้าต่าง หากไม่มีที่บ้วนโดยเฉพาะ ก็ต้องทำให้มิดชิดเพื่อมิให้เป็นการแพร่เชื้อน้ำลายเช่นนั้น 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่ลุกลนเลอะเทอะมูมมามในการบริโภค หมายความว่า ในการบริโภคอาหารนั้น ต้องการความสะอาดมาก หากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นสิ่งสกปรกอยู่ก็ทำให้รับประทานอาหารไม่ได้ เป็นต้นว่าไม่ควรรีบตักแบ่งอย่างลุกลน ไม่ควรตักเลอะเทอะออกขอบจานของกลางหรือหกราด ส่งในจานตนเองก็ไม่ควรตักมากเกินไป และไม่ควรตักสุม ๆ ปนชนิดกัน จะรับประทานก็ไม่คำโตจนเกินไป และไม่ควรให้มีเสียง เช่น เคี้ยวดังหรือซดน้ำดัง ไม่ควรพูดคุยเวลาอาการอยู่ในปาก 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่ถูกต้องหรือหยิบยื่นสิ่งที่ผู้อื่นจะบริโภคด้วยมือตน หมายความว่า ขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น เมื่อจะหยิบอาหารสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ผลไม้หรือผักหรือของอื่นส่งให้ผู้อื่น ไม่ควรจับต้องสิ่งนั้นด้วยมือควรใช้ช้อนหรือส้อมกลางที่มีอยู่นั้นส่งให้ หรือหยิบทั้งภาชนะส่งให้ ทั้งนี้เพื่อกันความสกปรกอันอาจมีได้ 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่ล่วงล้ำข้ามหยิบของบริโภคผ่านหน้าผู้อื่นซึ่งควรขอโทษและขอให้เขาส่งให้ได้ หมายความว่า ขณะที่กำลังบริโภคร่วมกันอยู่นั้นจะต้องการของสิ่งใด ไม่ควรหยิบยกข้ามหรือผ่านหน้าผู้อื่น หากมีความจำเป็นจะต้องหยิบยกจริง ๆ ก็ควรขอประทานโทษเขาแล้วขอให้เขาช่วยหยิบส่งให้ก็จะน่าดูขึ้น แต่ระเบียบในโต๊ะอาหารที่ถูกต้องนั้นควรบอกให้ผู้รับใช้หยิบส่งให้ 

(๑๑) ผู้ดีย่อมไม่ละลาบละล้วงเอาของผู้อื่นมาในการบริโภค เช่น ถ้วยน้ำ และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น หมายความว่า ในการรับประทานอาหารนั้นมีของที่ใช้ร่วมกันก็มี มีของที่ใช้เฉพาะคนก็มี เช่น ภาชนะใส่อาหารกลางวันรวมกันแต่เครื่องใช้เฉพาะตนคือ ช้อนส้อม ถ้วยน้ำ ผ้าเช็ดมือ ของที่ใช้เฉพาะเช่นนี้ต้องระมัดระวังอย่างละลาบละล้วงไปใช้ของผู้อื่นเข้า เพราะของเหล่านี้เป็นของประจำเฉพาะตัวของแต่ละคนจึงไม่ควรใช้ปะปนกัน 

(๑๒) ผู้ดีย่อมไม่เอาเครื่องใช้ของตน เช่น ช้อนส้อมไปตักสิ่งบริโภคซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่า ในการรับประทานอาหารร่วมกันหลาย ๆ คนนั้น เขาแยกของใช้ไว้เป็นของเฉพาะตัวก็มี เป็นของใช้ร่วมกันก็มี ถ้าว่าถึงช้อนส้อมแล้วเขามีเฉพาะตัวทีเดียว และเขามีช้อนกลางประจำไว้ตามภาชนะอาหารนั้น ๆ ในการนั้นต้องใช้ช้อนกลางร่วมกันคือการใช้ช้อนกลางแบ่งอาหารจากชามกลางมา ไม่ควรใช้ช้อนส้อมของตนไปตักอาหารแบ่งมาใส่ภาชนะของตน ทั้งนี้ก็เพื่อกันความสกปรกอันมีได้เพราะทำเช่นนั้น 

(๑๓) ผู้ดีย่อมระวัง ไม่พูดจาตรงหน้าผู้อื่นให้ใกล้ชิดเหลือเกิน หมายความว่า ในการพูดจาสนทนาปราศรัยกันตามปรกตินั้นควรใช้เสียงพอเหมาะไม่ดังเกินไป มาเบาเกินไป และในการพูดนั้นก็ไม่ควรยื่นหน้ายื่นตาเข้าไปพูดจนใกล้ชิดนัก เพราะอาจจะได้กลิ่นลมปาก ซึ่งอาจเหม็นจนผู้อื่นเหลือทนก็ได้หรือมิฉะนั้นฝอยน้ำลายอาจจะกระเซ็นเข้าหากันก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงควรอยู่ในที่เหมาะและไม่ตรงหน้าใกล้ชิดจนเกินพอดี ทั้งนี้เพราะกันความเบื่อหน่ายของกันและกัน เพื่อกันความรังเกียจกันแลกัน อาจมีได้ เพราะเหตุที่แสดงกิริยาเช่นนั้น 

   วจีจริยา ข้อนี้หมายถึงการไม่พูดคำลามกหรือพูดถึงสิ่งอันลามกในที่ประชุมชนหรือในขณะกำลังรับประทานอาหารแยกออกได้ดังนี้ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครกพึงรังเกียจในท่ามกลางประชุมชน หมายความว่า การกล่าวถ้อยคำใด ๆ ซึ่งเป็นการพูดถึงสิ่งโสโครกต่าง ๆ เช่น ของเน่าของเหม็น หรือพูดถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในที่ประชุมชน ไม่เป็นการสมควรแท้ ความจริงการพูดคำเช่นนั้นไม่ว่าในที่ใด ๆ ในเวลาใด ๆ กับบุคคลใด ๆ ย่อมไม่เป็นมงคลแก่ปากของตนเลยเพราะอย่างนี้จึงต้องพูดแต่สิ่งที่ดีงามในที่ทุกสถานและในกาลทุกเมื่อ 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งที่ควรปิดบังในท่ามกลางประชุมชน หมายความว่า สิ่งที่ควรปิดบังนั้นได้แก่สิ่งที่ควรละอาย หรือเรื่องที่เปิดเผยให้คนอื่นรู้จะเกิดความเสียหายแก่ตน แก่หมู่หรือแก่ชาติบ้านเมือง จึงไม่นำมาพูดในท่ามกลางประชุมชน เพราะเป็นเรื่องที่ควรสงวนไว้พูดเฉพาะกับบุคลที่จะไม่เป็นภัยอันตรายแก่ตนและใคร 

   มโนจริยา ข้อนี้หมายถึงความคิดเห็นแต่ในความบริสุทธิ์สะอาดอันมีอยู่ในใจของเรา เราควรตั้งความคิดเห็นนั้นในทางที่ชอบที่ควรคือ 

(๓) ผู้ดีย่อมพึงใจที่จะรักษาความสะอาด หมายความว่า ความสะอาดมีอยู่ ๓ ทาง คือสะอาดกาย สะอาดวาจา และสะอาดใจ ถ้าแบ่งประเภทอย่างนี้หมายถึงความดีงามหรือความไม่ทุจริตทางกาย วาจา และใจ อีกอย่างหนึ่งความสะอาดแบ่งได้เป็น ๒ ทาง คือ สะอาดภายนอก ได้แก่ ความสะอาดของร่างกาย เครื่องใช้บ้านเรือน และความเป็นอยู่ กับสะอาดภายใน ได้แก่ความสะอาดในจิตใจ ที่ว่าผู้ดีย่อมพึงใจจะรักษาความสะอาดนั้น แสดงว่าความสะอาดกายวาจาและใจก็ตาม ความสะอาดภายนอกและภายในก็ตาม จะมีขึ้นได้ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจ และเจตนาหรือความพึงพอใจจะให้มีขึ้น ผู้ดีจึงควรศึกษาให้รู้เรื่องความสะอาดและตั้งใจรักษาความสะอาดในทุกวิถีทาง

ผนวก ๓ 
ผู้ดีย่อมมีสัมมาคารวะ

   ข้อนี้หมายความว่า กิริยาอาการที่แสดงออกของบุคคลที่เป็นผู้ดีนั้นย่อมแสดงออกแต่ในทางสุภาพเรียบร้อยน่าดูน่าชมเท่านั้น กิริยาอาการนี้ก็เป็นสำคัญอีกอย่างหนึ่ง โบราณท่านกล่าวไว้ กิริยาส่อชาติ มารยาทส่อสกุล เพราะฉะนั้นการแสดงกิริยาอาการที่สุภาพอ่อนโยนงดงาม จึงเป็นการสมควรที่ทุกคนควรทำอย่างยิ่ง ท่านแบ่งไว้ดังนี้

   กายจริยา หมายถึงการแสดงสัมมาคารวะทางกาย 

(๑) ผู้ดีย่อมนั่งด้วยกิริยาอันสุภาพเฉพาะหน้าผู้ใหญ่ หมายความว่า เมื่ออยู่กับผู้ใหญ่ต้องรู้ที่นั่งของตน ว่าตนควรจะนั่ง ณ ที่แห่งใด และควรจะนั่งอย่างไร เช่น ผู้ใหญ่อยู่กับพื้นก็ควรนั่งกับพื้น และควรนั่งพับเพียบ ในระยะห่างพอควรแก่สถานที่และธุระที่ทำ ถ้าท่านนั่งเก้าอี้และท่านอนุญาตให้นั่งเก้าอี้ด้วยก็ควรนั่ง แต่ไม่ควรนั่งไขว้ขาหรือกระดิกเท้าตามใจชอบ ควรนั่งด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย ควรแก่สถานที่และภาวะของตน 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ขึ้นหน้าผ่านตาผู้ใหญ่ หมายความว่า เมื่อเดินไปกับผู้ใหญ่ต้องเดินตามหลังท่าน และไปในระยะไม่ห่างนัก ไม่ชิดนัก เพราะถ้าเดินห่างนักพูดไม่ค่อยได้ยิน ถ้าเดินชิดนักจะสะดุดส้นท่าน ต้องเดินในระยะพอสมควรที่จะพูดถามได้ยินสะดวก ต้องไม่เดินแซงขึ้นหน้าผู้ใหญ่ หากไม่ได้เดินร่วมไปกับท่าน เมื่อท่านเดินมา มีความจำเป็นต้องผ่าน ก็ไม่ควรเดินผ่านหน้าท่านควรหาทางที่จะผ่านไปทางหลังท่าน จึงดูสุภาพ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่ หมายความว่าขณะที่อยู่ใกล้ผู้ใหญ่ไม่ว่าในที่เช่นใด ต้องไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่ ต้องหันหน้าเข้าหาท่าน จึงดูเรียบร้อยดี 

(๔) ผู้ดีแหวกที่หรือให้ที่นั่งอันสมควรแก่ผู้ใหญ่หรือผู้หญิง หมายความว่า ขณะที่เรานั่งหรือยืนอยู่ในที่ใด ๆ ก็ตาม เช่น ในที่ชุมชน หรือในรถโดยสาร เมื่อมีผู้ใหญ่คือผู้สูงอายุ คือ คนชรา หรือผู้หญิงขึ้นมาภายหลังต้องให้ที่นั่งแก่คนเหล่านั้นตามสมควร แต่ถ้าเป็นผู้ที่อยู่ในวัยที่เสมอกัน ตามปรกติไม่ต้องให้ที่นั่ง แต่ถ้าคนเหล่านั้นอุ้มเด็กมา หรือมีครรภ์หรือมีของหนักติดมือมาก็ต้องลุกให้ตามควร อย่างนี้จึงดูสุภาพดี 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่ทัดหรือคาบบุหรี่ คาบกล้อง และสูบให้ควันไปรมผู้อื่น หมายความว่า เมื่อเราเข้าไปหาผู้ใหญ่หรือเดินทางไปกับผู้ใหญ่ หรืออยู่ร่วมกับผู้ใหญ่ เราไม่ควรเอาบุหรี่มาทัดหู แม้ของอื่นก็ไม่สมควร เมื่อจะสูบบุหรี่ก็ไม่ควรคาบกล้องต่อหน้าผู้ใหญ่ อีกอย่างหนึ่งในที่ชุมชน จะเป็นในที่ประชุมกันก็ตาม อยู่ในรถก็ตาม ไม่ควรสูบบุหรี่ที่เดียว ถ้ามีความจำเป็น ก็ควรอยู่ใต้ลมและเบื้องหลังท่าน อย่างนี้จึงสุภาพดี 

(๖) ผู้ดีย่อมเปิดหมวกเมื่อเข้าชายคาบ้านผู้อื่น หมายความว่า เมื่อจะเข้าเขตของท่านผู้ใด ต้องแสดงความเคารพต่อเจ้าของเขตนั้น ๆ จึงเป็นการสมควรทีเดียวที่จะต้องเปิดหมวกออก 

(๗) ผู้ดีย่อมเปิดหมวกในที่เคารพ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่ว่าแห่งศาสนาใด หมายความว่า ตามธรรมดาคนเรานี้มีความเชื่อถือในลัทธินิยมต่าง ๆ กัน แล้วแต่ความสมัครใจของตน เป็นเสรีภาพอย่างหนึ่งในการนับถือศาสนาในลัทธินิยมเหล่านั้น ย่อมมีสิ่งที่เคารพนับถือของผู้เชื่อถือจะได้ยึดถือเป็นหลักใจเป็นที่รวมของคนทั้งหลาย จึงมีสถานที่กลางขึ้น เรียกทั่งไปในภาษาไทยว่าวัดบ้างศาลเจ้าบ้างหรือเรียกอนุโลมเพื่อให้เข้าใจกันได้ว่า โบสถ์บ้าง วิหารบ้าง สุเหร่าบ้าง ตามที่หมายรู้กัน สถานที่เหล่านี้เราเรียกกันออกไปอีก เช่น ปูชนียสถานบ้าง เจดียสถานบ้าง ตามถนัดที่จะหมายรู้กันได้ เมื่อรวมลงกันแล้วสถานที่เหล่านี้ก็เป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของผู้นับถือลัทธินิยมนั้น ๆ การเข้าไปในเขตบริเวณสถานที่เหล่านั้นเช่นเดียวกับสถานที่ซึ่งตนเคารพนับถือ การแสดงความเคารพนั้นมีหลายวิธี ถ้าสวมรองเท้า เมื่อจะเข้าไปในเขตนั้น ต้องถอดรองเท้า ถ้าสวมหมวกต้องเปิดหมวก ถ้ากางร่มต้องลดร่ม แต่เรื่องการถอดรองเท้านี้ ถ้าสวมตามเครื่องแบบมีข้อบังคับว่าถอดไม่ได้ ถอดเป็นการแสดงความไม่เคารพ เช่นนี้ไม่ต้องถอดรองเท้าก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อจะเข้าในสถานที่เคารพทุกแห่งควรแสดงความเคารพก่อนเข้าไป 

(๘) ผู้น้อยย่อมเคารพผู้ใหญ่ก่อน หมายความว่าในการแสดงความเคารพต่อกันและกันนั้น ตามปรกติผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ก่อน แล้วผู้ใหญ่จึงรับเคารพภายหลัง เช่น เมื่อพบกัน ผู้น้อยต้องแสดงความเคารพผู้ใหญ่ เช่น ไหว้ก่อนแล้วผู้ใหญ่จึงรับไหว้ภายหลัง ข้อนี้หากอยู่ในเครื่องแบบอย่างไรในที่เช่นใดต้องทำให้เหมาะแก่กาลเทศะ 

(๙) ผู้ชายย่อมเคารพผู้หญิงก่อน หมายความว่าเมื่อชายหญิงได้พบกันในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ตามปรกติผู้ชายต้องเคารพผู้หญิงก่อน จึงจะนับว่าเป็นมรรยาทที่ดี ทั้งนี้หมายถึงสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษโดยทั่วไป มิใช่แก่พ่อแม่พี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์ ซึ่งต้องเคารพกันฐานญาติอยู่แล้ว 

(๑๐) ผู้ลาย่อมเป็นผู้เคารพก่อน หมายความว่าแขกผู้ไปถึงถิ่นของท่านผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นบุคคลประเภทใด เมื่อจะลากลับฝ่ายผู้เป็นแขกต้องแสดงคารวะต่อเจ้าถิ่นโดยสถานใดสถานหนึ่ง ตามควรแก่ภาวะของตน ถ้าแขกเป็นผู้น้อยกว่า ก็ทำตามภาวะของผู้น้อย ถ้าแขกเป็นผู้ใหญ่กว่าก็ทำตามภาวะของผู้ใหญ่ 

(๑๑) ผู้เห็นก่อนโดยมากย่อมเคารพก่อน หมายความว่าในการพบปะกันในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในงานชุมชน ในการพบปะกันในที่เช่นนั้น ตามปรกติผู้ที่เห็นควรแสดงความเคารพก่อน โดยควรแก่ภาวะของตน เช่น ทักก่อน หรือ แสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นว่ามีไมตรีกัน 

(๑๒) ผู้ใดเคารพตนก่อน ควรตอบเขาทุกคน ไม่เฉยเสีย หมายความว่าในการแสดงความเคารพต่อกันนั้นและกันนั้น ตามปรกติย่อมถือหลักว่า ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ ผู้เคารพย่อมได้เคารพตอบโดยหลักนี้เมื่อมีผู้ใดมาแสดงความเคารพต่อเรา เราต้องแสดงเคารพตอบทันที ตามปรกติธรรมเนียมไทย ผู้น้อยต้องแสดงก่อน เช่น ไหว้ก่อน เป็นต้น เป็นผู้ใหญ่ควรยกมือขึ้นไหว้ตอบผู้น้อยแต่การรับไหว้นี้จะยกสูงต่ำเพียงใรย่อมแล้วแต่ภาวะอันควร แต่บางที่อาจก้มศีรษะน้อมรับก็ได้ ส่วนธรรมเนียมตะวันตก เช่น จับมือ ผู้ใหญ่ต้องให้มือก่อนแล้วผู้น้อยจึงจับ เป็นผู้น้อยจะยื่นมือให้ผู้ใหญ่เป็นการไม่สมควร 

   วจีจริยา การแสดงสัมมาคารวะทางวาจา 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่พูดจาล้อเลียนหลอกลวงผู้ใหญ่ หมายความว่า ตามปรกติผู้น้อยย่อมต้องเคารพผู้ใหญ่อยู่ทุกโอกาส แล้วพูดจาปราศรัยกับผู้ใหญ่ก็ต้องพูดเรียบร้อยเป็นสัมมาคารวะ ต้องไม่พูดจาล้อเลียนหรือหลอกลวงท่าน ดังนั้นจึงต้องพูดจาปราศรัยกับผู้ใหญ่ด้วยสัมมารวะเสมอ 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวร้ายถึงญาติมิตรที่รักใคร่นับถือของผู้ฟัง หมายความว่า เราพูดกับใครเราไม่ควรพูดถึงญาติมิตรที่ผู้พูดอยู่กับเรานั้นรักใคร่นับถือกันในทางเสียหาย คือไม่นินทาเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องของผู้ที่พูดอยู่ด้วยให้ผู้นั้นฟัง เช่น เราพูดกับนายแดง เราไม่ควรว่าเพื่อนหรือญาติของนายแดงเป็นต้น โดยปรกติแล้วเราไม่ควรพูดถึงใคร ๆ ในทางที่เสื่อมเสีย ควรพูดถึงแต่ในทางที่ดีเท่านั้น 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่กล่าววาจาติเตียนสิ่งเคารพ หรือที่เคารพของผู้อื่นแก่ตัวเขา หมายความว่า สิ่งเคารพได้แก่ เจดียสถานหรือศาสนา ที่เคารพได้แก่ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือครูบาอาจารย์ ในการสนทนาปราศรัยกันนั้น เมื่อรู้ว่าผู้นั้นถือลัทธิต่างกัน เราไม่ควรพูดจาติเตียนสิ่งเคารพของเขา เช่น เราถือพุทธ เพื่อนเราถือคริสต์ เราไม่ควรติเตียนพระเยซูให้เพื่อนเราฟัง หรือพูดกับนายดำเราไม่ควรติเตียนพ่อนายดำดังนี้เป็นต้น นี้เป็นเรื่องของจิตใจไม่ควรกระทบน้ำใจกัน 

(๔) ผู้ดีเมื่อจะขอทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ย่อมต้องขออนุญาตตัวเขาก่อน เมื่อเรามีความจำเป็นจะล่วงเกินผู้อื่น เช่น เราเห็นผงหรือตัวแมลงติอยู่บนศีรษะของผู้อื่น เรามีความปรารถนาดีจะช่วยหยิบผงหรือตัวแมลงนั้นออก ก่อนที่เราจะทำควรขอโทษเขาเสียก่อนแล้วจึงหยิบออก หรือเมื่อจะพูดถึงเรื่องของเขาก็ต้องขอโทษเขาก่อนจึงพูด หรือแม้การอย่างอื่นก็ทำนองเดียวกัน โดยที่สุดแม้จะฟ้องใครยังต้องบอกให้ผู้ถูกฟ้องทราบก่อน ทำอย่างนี้จึงเป็นการสมควร 

(๕) ผู้ดีเมื่อตนทำพลาดพลั้งแก่บุคคลใด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ หมายความว่า เมื่อเราอยู่รวมกับคนหมู่มากเราอาจกระทบมือกระทบเท้ากันได้บ้าง เมื่อพลาดพลั้งไปเช่นนั้นก็ต้องกล่าวคำขอโทษทุกครั้ง จึงจะเป็นการสมควร 

(๖) ผู้ดีเมื่อผู้ใดได้แสดงคุณต่อตนอย่างไร ควรออกวาจาขอบคุณเขาเสมอ หมายความว่า เมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดช่วยเหลือเราด้วยประการใด ๆ ก็ตามในทางที่ดีนั้น เราต้องกล่าวคำขอบคุณท่าน เช่น เขาให้ที่นั่งเรา เขาให้ทางเรา หรือเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เราอย่างไร เราต้องกล่าวคำขอบคุณเขาทุกครั้ง จึงจะเป็นการสมควร 

   มโนจริยา หมายถึงการแสดงความมีน้ำใจอันดีงามเป็นสัมมาคารวะ 

(๑) ผู้ดีย่อมเคารพยำเกรงบิดามารดาและอาจารย์ หมายความว่าบุคคลผู้สร้างชีวิตของเรา เท่าที่เราเกิดขึ้นมานี้ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น ท่านทั้งสองคือ พ่อกับแม่นี้เป็นผู้มีความรักเราจริงเป็นผู้สร้างชีวิตและร่างกายเราโดยแท้ ถัดจากนั้น ก็มีบุคคลที่มีคุณควรเคารพ คือ ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สร้างชีวิตเราในฝ่ายวิชาความรู้ วิชาความรู้ที่มีอยู่ในตัวเรานี้ ตั้งต้นแต่อ่านเขียนได้ คิดเลขได้ ตลอดถึงวิชาทำมาหากินได้นี้ ก็เพราะครุบาอาจารย์บุคคลเหล่านี้ เราต้องเคารพยำเกรง ไม่ว่าในที่ใด ๆ ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ไม่ว่าในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าท่านผู้นั้นจะอยู่ในภาวะอย่างไรก็ตามเรามีทางเดียวที่จะพึงปฏิบัติต่อท่าน คือมีความเคารพยำเกรงในท่านเท่านั้น อย่างนี้จึงสมควร 

(๒) ผู้ดีย่อมนับถือนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ หมายความว่า ผู้ใหญ่คือบุคคลผู้มีความเจริญกว่าเรา กำหนดได้เป็น ๓ คือ ๑.เจริญโดยชาติ หมายความว่า เกิดในสกุลที่ประชาชนยกย่องนับถือว่าสูงศักดิ์ เช่น ตระกูลกษัตริย์ บุคคลที่เกิดในตระกูลเช่นนี้ เช่น เจ้าฟ้า หรือเจ้านายชั้นรองลงมาก็ดี แม้ทรงมีอายุน้อยมีอายุน้อยกว่าเรา เราก็ควรเคารพท่านเป็นต้น ๒.เจริญโดยวัย หมายความว่าเกิดก่อนเรา มีอายุมากกว่าเรา แม้มีศักดิ์ต่ำกว่า เราก็ต้องเคารพท่าน ๓.เจริญโดยคุณ หมายเอาบุคคลผู้มีคุณธรรมสูง เป็นภิกษุสามเณรหรือบุคคลอื่น เช่น ครูบาอาจารย์ ท่านเหล่านี้ชื่อว่า ผู้ทรงคุณ เราควรเคารพท่าน หรือถือหลักง่าย ๆ ว่าเป็นผู้น้อยต้องแสดงความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ 

(๓) ผู้ดีย่อมมีความอ่อนหวานต่อผู้น้อย หมายความว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่นั้น คือผู้ที่มีคุณธรรม คือมีเมตตากรุณาเป็นหลักใจ เห็นผู้ที่น้อยกว่าตนไม่ว่าสถานใดสถานหนึ่งแล้ว ต้องไม่แสดงอาการข่มขู่ให้ตกใจกลัว หรือไม่แสดงอาการเอารัดเอาเปรียบ ต้องแสดงความสงสารเอ็นดูปรานี โดยถือหลักว่าเป็นผู้ใหญ่ต้องแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้น้อย จึงทำให้ผู้น้อยเคารพรักด้วยน้ำใสใจจริงไม่ใช่จำใจต้องเคารพไปตามหน้าที่เท่านั้น

ผนวก ๔ 
ผู้ดีย่อมมีกิริยาเป็นที่รัก

ข้อนี้หมายความว่า การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ เช่น การยืน เดิน นั่งนอน หรือพูดจาปราศรัย หรือการแสดงน้ำใจ ต้องแสดงในทางที่ส่อให้เห็นว่าน่ารักน่าเคารพน่านับถือบูชา จึงเป็นการสมควร 

   กายจริยา คือการแสดงออกทางกาย เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน ที่น่ารักใคร่น่าพอใจ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ฝ่าฝืนเวลานิยม คือ ไม่ไปใช้กิริยายืนเมื่อเขานั่งกับพื้น และไม่ไปนั่งกับพื้นเมื่อเวลาเขายืนเดินกัน หมายความว่าเมื่อเราอยู่รวมในหมู่คนหรือในชุมนุมชน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร เมื่อคนทั้งหลายนั่งอยู่บนพื้นราบ เราเข้าไปยังที่นั่น ต้องนั่งเช่นเดียวกับเขา เมื่อจะผ่านไปต้องเดินเขาหรือคลานไป ไม่ควรเดินเทิ่ง ๆ ผ่านไป เมื่อคนทั้งหลายนั่งอยู่บนเก้าอี้เราเข้าไปยังที่นั้น ต้องนั่งเก้าอี้เช่นเดียวกับเขา เมื่อจะผ่านไปต้องเดินก้มหลังผ่านไป เมื่อคนทั้งหลายยืนอยู่เราเขาไป ณ ที่นั้นต้องยืนเช่นเดียวกับเขา เมื่อจะผ่านไป ต้องเดินหลีกไป ถ้าเข้าในที่ปูชนียสถาน เช่น ในโบสถ์ พึงกราบพระด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างนี้จึงสมควร 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ไปนั่งนานเกินสมควรในบ้านของผู้อื่น หมายความว่า เมื่อไปหาท่านผู้ใดด้วยธุระอย่างไร เมื่อเสร็จธุระแล้วต้องรีบลากลับ ไม่ควรนั่งอยู่นานเกินไป นอกจากผู้ที่คุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่ทำกิริยารื่นเริงเมื่อเขามีทุกข์ หมายความว่า เมื่อไปในการศพ ไม่ควรแสดงกิริยารื่นเริงหรือตลกคะนองสรวลเสเฮฮา พึงแสดงอาการสงบ ปลงธรรมสังเวชตามควร 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่ทำกิริยาโศกเศร้าเหี่ยวแห้งในที่ประชุมรื่นเริง หมายความว่า เมื่อไปในงานรื่นเริง เช่น งานแต่งงาน หรืองานฉลองอื่น ๆ ไม่พึงแสดงอาการโศกเศร้าหงอยเหงาเจ่าจุกให้ปรากฏ แต่ควรแสดงอาการรื่นเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสโดยควรแก่ภาวะของตนจึงเป็นการสมควร 

(๕) ผู้ดีเมื่อไปสู่ที่ประชุมการรื่นเริงย่อมช่วยสนุกชื่นบานให้สมเรื่อง หมายความว่า เมื่อไปในงานรื่นเริง เช่น งานวันเกิดหรืองานปีใหม่ หรืองานฉลองใด ต้องสนุกสนานในที่ควรสนุกสนานตามสมควร 

(๖) ผู้ดีเมื่อเป็นเพื่อนเที่ยวย่อมต้องกลมเกลียวและร่วมลำบากร่วมสนุก หมายความว่า ถ้าไปกันหลายคนก็พึงมีความกลมเกลียวกันลำบากก็ลำบากด้วยกัน สนุกก็สนุกด้วยกัน ต่างคนต่างช่วยกันทำกิจที่ควรทำตามความสามารถของตน แสดงความร่วมสุขร่วมทุกข์กันตลอดไป ดังนี้การเที่ยวเตร่จึงจะสนุกสนานตามควร 

(๗) ผู้ดีเมื่อตนเป็นเจ้าของบ้าน ย่อมต้องต้อนรับแขกและเชื้อเชิญแขกไม่เพิกเฉย หมายความว่า ผู้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าถิ่น ต้องต้อนรับแขกผู้มาถึงบ้านหรือถิ่นของตนด้วยความยินดี ไม่ว่าแขกนั้นจะเป็นอย่างไร การต้อนรับนี้แยกออกได้เป็น ๒ วิธี 
    วิธีที่ ๑ ต้อนรับด้วยเครื่องต้อนรับต่าง ๆ เช่น น้ำร้อน น้ำเย็น หรือด้วยข้าวปลาอาหาร หรือด้วยสิ่งอื่น ตามความสามารถของเจ้าถิ่น 
    วิธีที่ ๒ ต้อนรับด้วยน้ำใสใจจริง แขกมีภาวะอย่างไร ก็รับรองให้เหมาะแกภาวะของแขกและด้วยน้ำใจอันงานของเจ้าถิ่น ดังนี้จึงเป็นการสมควร 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่ทำกิริยามึนตึงต่อแขก หมายความว่า เมื่อแขกมาถึงบ้านตน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเช่นไร ตั้งต้นแต่พระสงฆ์องค์เจ้า โดยที่สุดแม้คนขอทาน มาถึงบ้านตนแล้ว ต้องต้อนรับด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องถือหลักว่า แขกผู้มาถึงเรือนตนนั้นเป็นผู้นำมงคลมาให้ จึงควรต้อนรับมงคลนั้นดังนี้จึงเป็นการสมควร 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่ให้แขกคอยนานเมื่อเขามาหา หมายความว่า เมื่อแขกมาหา ต้องรีบให้ได้พบโดยเร็ว ตื่นอยู่ก็ดี หลับอยู่ก็ดีหรือกำลังทำกิจอยู่ก็ดีควรให้โอกาสแก่แขกได้ทุกเวลา และพยายามให้ได้พบโดยเร็วที่สุด ไม่ควรให้แขกต้องคอยยอยู่นาน และไม่ควรแสดงให้แขกทราบว่า มีกิจธุระอันจำต้องทำเป็นอันขาด 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูนาฬิกาในเวลาที่แขกยังนั่งอยู่ หมายความว่า ขณะที่แขกกำลังนั่งอยู่ในบ้าน ไม่ควรจ้องดูนาฬิกา เพราะการทำเช่นนั้น เท่ากับเป็นการไล่แขกให้กลับโดยทางอ้อม จึงไม่ควรทำหากมีธุระจำเป็น เช่น นัดไว้กับผู้อื่น ก็ควรแจ้งให้แขกทราบ และขอโทษแขก ถึงอย่างไรก็ตาม แขกก็คงไม่ปรารถนาให้เราต้องเสียเวลาเช่นนั้น ต้องแสดงให้ปรากฏเสมอว่า ยินดีต้อนรับตลอดเวลา และควรขอบคุณแขกผู้มาเยี่ยมเยียนตนด้วย 

(๑๑) ผู้ดีย่อมไม่ใช้กิริยาบุ้ยใบ้หรือกระซิบกระซาบกับผู้ใดในเวลาเมื่ออยู่เฉพาะหน้าผู้หนึ่ง หมายความว่า ขณะกำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับผู้ใดหรืออยู่ในกลุ่มใดไม่ควรทำบุ้ยใบ้ หรือกระซิบกระซาบกับใคร เป็นการเฉพาะตัว ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งหรือคนหนึ่งที่รวมอยู่นั้นไม่รู้ เพราะทำการเช่นนี้อาจทำให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องนั้นมีความระแวงสงสัยไปต่าง ๆ นานาได้ หากมีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น ก็ควรงดไว้จนกว่าจะได้โอกาสจึงทำ เพื่อมิให้เกิดความระแวงสงสัยในใจกันและกัน 

(๑๒) ผู้ดีย่อมไม่ใช้กิริยาอันโกรธเคืองหรือดุดันผุ้คนบ่าวไพร่ต่อหน้าแขก ในขณะที่อยู่ต่อหน้าแขกหรืออยู่รวมกับคนต่างถิ่น หรืออยู่ในที่ชุมนุมชน ไม่ควรแสดงกิริยาอาการอันโกรธเคืองผู้ใดผู้หนึ่ง หรือดุด่าว่ากล่าวคนรับใช้ของตนต่อหน้าคนทั้งหลายเหล่านั้น โดยเฉพาะต่อหน้าแขกที่มาถึงบ้านตนแล้ว ไม่ควรจะทำโกรธเคืองหรือดุดันคนรับใช้ของตนเลย 

(๑๓) ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน หมายความว่า เมื่อพบปะบุคคลใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรจ้องดูบุคคลนั้นจนผิดปรกติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกจ้องดูนั้นเห็นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ได้ แม้จำเป็นต้องดู ก็เพียงเพื่อกำหนดหมายจำหน้าจำหน้าจำตากันไว้เท่านั้น 

(๑๔) ผู้ดีย่อมต้องรับต้องส่งแขกเมื่อไปมา ในระยะอันสมควร หมายความว่า เมื่อแขกมาถึงบ้านเรือนตนต้องออกต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อแขกกลับต้องส่งแขกในระยะทางพอควร แสดงให้เห็นความยินดีต้อนรับขับสู้ของเจ้าถิ่น ทั้งนี้เป็นการผูกใจกันได้เป็นอย่างดี 

   วจีจริยา คือกล่าวถ้อยคำอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่นับถือ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวติเตียนสิ่งของที่เขาแต่งตั้งไว้ในบ้านที่ตนไปสู่ หมายความว่า เมื่อไปถึงบ้านใด ได้เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเขาตั้งแต่งไว้ในที่นั้น ไม่ควรเที่ยวตำหนิติเตียนให้เป็นที่กระเทือนใจเจ้าของบ้าน ถ้าเห็นทำไว้ไม่เหมาะไม่ควร ก็น่าจะหาทางช่วยเหลือโดยปรึกษาหารือหรือถามเหตุผลดูก่อน ควรแก้ก็ช่วยแก้ ควรเปลี่ยนแปลงก็ควรเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ขยายความกว้างออกไป ในเวลาไปช่วยงานเขาหรือไปในงานเขา เมื่อเห็นอะไรที่เขาทำไว้ขัดหูขัดตาหรือไม่เหมาะไม่ถูกต้องก็ต้องหาทางช่วยจัดช่วยทำ ช่วยแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ใช่นั่งตำหนิติเตียน ซึ่งไม่เป็นการสมควรเลย 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวสรรเสริญรูปกายบุคคลแก่ตัวเขาเอง หมายความว่า การกล่าวสรรเสริญรูปกายกันโดยตรงนั้น ผู้ฟังจะเกิดความอายกระดากไม่สมควรเลย 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่พูดให้เพื่อนเก้อกระดาก หมายความว่าเมื่อพบเพื่อน แม้รู้ว่าเรื่องของเพื่อนเป็นอย่างไรหรือผู้นั้นเกิดพลาดพลั้งอย่างใดขึ้น ก็ไม่ควรพูดให้เพื่อนต้องเก้อหรือกระดาก พึงพูดจาด้วยอาการอันยิ้มแย้มแจ่มใสผูกใจกันอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่อันสนิทสนม จึงเป็นการสมควร 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่พูดเปรียบเปรยเกาะแกะสตรีกลางที่ประชุม หมายความว่า เมื่ออยู่ในที่ประชุมชนมากด้วยกันมีทั้งชายทั้งหญิง ในที่เช่นนั้นไม่ควรพูดจาเกาะแกะสตรีให้ได้อาย หรือให้มีความกระดากอายด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะล้อเล่นเพื่อสนุกสนานหรือเพื่ออะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องยกย่องให้เกียรติสตรีในที่เช่นนั้น จึงเป็นการสมควร 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่ค่อนแคะติรูปกายบุคคล หมายความว่า เมื่อเห็นใคร ๆ มีร่างกายบกพร่องหรือผิดแปลก หรือไม่สมส่วน ก็ไม่ควรตำหนิติเตียนค่อนแคะเขา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้าจำเป็นต้องขอโทษเขาก่อนจึงควรกล่าวเช่นนั้น ดังนั้นจึงเป็นการควร 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่ทักถึงการร้ายโดยพลุงโพล่งให้เขาตกใจ หมายความว่าเมื่อได้พบผู้หนึ่งผู้ใด จะเป็นเพื่อนสนิทก็ตามไม่สนิทก็ตาม เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม เป็นเด็กก็ตาม แม้รู้ว่าเขามีความร้ายหรือเรื่องไม่ดี หรือเคราะห์ไม่ดี หรือโชคไม่ดีอยู่ ก็ไม่ควรกล่าวถึงการร้ายเช่นนั้นโดยพลุ่งโพล่งออกมาให้เขาตกใจ เมื่อรู้อยู่เช่นนั้นควรพูดเอาใจ หรือพูดหาทางแก้ไขให้เบาใจ จึงเป็นการควร 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่ทักถึงสิ่งอันน่าอายน่ากระดากโดยเปิดเผย หมายความว่า เมื่อได้พบปะใครคนใดคนหนึ่งซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันหรือไม่ก็ตาม เมื่อเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นที่น่าอายน่ากระดาก เช่นเขาเป็นแผลเป็นที่หน้า หรือเห็นเขาแต่งกายไม่เรียบร้อย หรือเห็นเครื่องนุ่งห่มของเขาขาดหรือเปรอะเปื้อน หรืออย่างอื่นใด ก็ไม่ควรที่จะทักให้เป็นที่น่าอายน่ากระดาก หากมีความจำเป็นจะต้องบอก ก็ควรหาทางกระซิบกระซาบให้รู้โดยเฉพาะ เพื่อเขาได้โอกาสแก้ไขเสียได้ทันท่วงที อย่างนี้จึงเป็นการสมควร 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่เอาสิ่งที่น่าจะอายจะกระดากมาเล่าให้แขกฟัง หมายความว่า เมื่อแขกมาถึงเรือนตนหรือถิ่นตน ไม่ควรนำเรื่องที่น่าอายน่ากระดากเล่าให้เขาฟัง เช่น เล่าเรื่องอันพาดพิงถึงตัวเขาหรือเรื่องเล่าอันเขามีส่วนเกี่ยวข้อง และเรื่องนั้นก็น่าจะทำให้เขาได้อายหรือมีความกระดากเป็นต้น นี้ไม่เป็นการสมควรแท้ 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่เอาเรื่องที่เขาพึงซ่อนเร้นมากล่าวให้อับอายหรือเจ็บใจ หมายความว่า เมื่ออยู่ในวงสนทนากันไม่ว่าจะมากคนหรือน้อย ไม่ว่าจะคุ้นเคยกันหรือไม่ก็ตาม ไม่ควรนำเอาเรื่องใด ๆ ของใคร ๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาปิดบังซ่อนเร้นมาพูดให้เขาได้อายหรือเจ็บใจ เช่น เรื่องความผิดหวังของคน เรื่องการสอบไล่ตก หรือเรื่องมิดีมิร้าย หรือเรื่องที่เขาพลาดพลั้งที่ตนรู้อยู่ เพราะการเล่าเรื่องเช่นนี้ไม่สมควรแท้ ควรหาเรื่องอย่างอื่น ซึ่งเมื่อเล่าแล้วทำให้เขาเกิดความสนใจ หรือมีความยินดีปรีดา จึงเป็นการสมควร 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวถึงอัปมงคลในการมงคล เช่น งานแต่งงานก็ไม่ควรเล่าถึงเรื่องผัวเมียแตกกัน ทะเลาะวิวาทกันจนถึงหย่าร้างกัน หรือไปในงานทำบุญวันเกิด ก็ไม่ควรเล่าถึงเรื่องตาย หรือเรื่องของความพินาศต่าง ๆ ต้องหาเรื่องที่เป็นมงคลมาเล่าสู่กันฟัง จึงเป็นการสมควร 

   มโนจริยา หมายถึงการแสดงน้ำใจที่น่ารัก 

(๑) ผู้ดีย่อมรู้จักเกรงใจคน หมายความว่า ตามปรกติคนเราไม่ควรรบกวนคนอื่นเขาไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ๆ ก็ตาม หากมีความจำเป็นจะต้องรบกวน ก็ให้รู้ความพอเหมาะพอควร ถึงเขาให้โอกาสก็ไม่ควรให้เกินความพอดี เช่น จะขอสิ่งของเขาก็ไม่ควรขอสิ่งที่เขารัก จะขอสิ่งใดต้องให้เจ้าของยินดีให้ และเมื่อเขาให้แล้วจะต้องไม่ทำให้เขาเดือดร้อนในสิ่งนั้น คือไม่ทำให้เขาขาดแคลนยากจนลง ดังนี้เป็นต้น จึงเป็นการสมควรแท้

ผนวก ๕ 
ผู้ดีย่อมเป็นผู้มีสง่า

ข้อนี้หมายความว่า ผู้ดีจะต้องรู้จักภาวะของตัว จะเดินเหินนั่งลุก ก็ควรให้มีท่าทางสง่าผ่าเผย เช่น ไม่นั่งหลังงอ หรือทำซอมซ่อ อย่านี้ไม่ควรแท้ แต่ก็ต้องระมัดระวังอย่าให้กลายเป็นข่มเพื่อนหรือแสดงความยิ่งใหญ่ของตนเกินไป 

   กายจริยา หมายความว่า การแสดงกิริยาท่าทางให้สง่าผ่าเผยสมภูมิสมฐาน 

(๑) ผู้ดีย่อมมีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ หมายความว่า ต้องยืน เดิน นั่ง นอน ให้เหมาะสม เช่น ต้องยืนตัวตรง เดินตัวตรง นั่งตัวตรง ไม่ยืนชิดผู้ใหญ่จนเกินไป ไม่เดินเร็วหรือช้าเกินไป ไม่นั่งหลังขดหลังงอ ทั้งนี้เป็นการช่วยให้ส่วนของร่างกายทุกส่วนทำงานได้ตามสภาพของมันด้วย แต่ต้องระวังมิให้เกิดท่าทางที่จะกลายเป็นหยิ่งหรือจองหอง จึงควรให้สุภาพเรียบร้อยเท่าที่ควร 

(๒) ผู้ดีจะยืนนั่ง ย่อมอยู่ในระดับอันควรไม่เป็นผู้แอบอยู่หลังคนหรือหลีกเข้ามุม หมายความว่า เมื่อจะยืนจะนั่งในชุมนุมชน ในหมู่ในพวก ต้องยืนนั่งตามลำดับอันสมควรแก่ตน คือควรอยู่หน้าต้องอยู่หน้า ควรอยู่หลังต้องอยู่หลัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ไปอยู่ข้างหลังเท่ากับเป็นการกีดกันที่ยืนที่นั่งของผู้น้อย ในเวลาเข้าแถวปรกติต้องไปตามลำดับผู้ใหญ่ผู้น้อย แต่ถ้าในแถวคอยต้องไปตามลำดับก่อนหลังอย่างนี้จึงสมควร 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้สะทกสะท้านงกเงิ่นหยุด ๆ ยั้ง ๆ ความหมายว่า ในชุมนุมชนต้องมีความองอาจ ความแกล้วกล้า จะมีคนมากก็ตาม คนน้อยก็ตาม ต้องทำประหนึ่งว่าเหมือนไม่มีคนแสดงอาการทุกอย่างให้เป็นปรกติ การที่จะให้มีความกล้าหาญได้นั้นต้องเป็นผู้สนใจในวิชาความรู้ ต้องเป็นผู้สนใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ต้องเป็นผู้สนใจในระเบียบแบบแผน และต้องหมั่นเข้าร่วมชุมนุมในที่ซึ่งตนจะเข้าร่วมได้ตามกาลเทศะ มิฉะนั้นแล้ว ก็อดจะสะทกสะท้านบ้างไม่ได้ ไม่มากก็น้อย เมื่อมีอาการอย่างนั้น จำต้องข่มใจหรือนึกถึงความรู้ความสามารถของตัวที่มีอยู่แล้วนำออกใช้ในเวลาเท่านั้น ก็อาจทำให้หายสะทกสะท้าน แสดงกิริยาอาการให้เป็นปรกติ 

   วจีจริยา หมายความว่า การใช้วาจาให้เหมาะสมเป็นสง่า 

(๑) ผู้ดีย่อมผู้จาฉะฉานชัดถ้อยความ พูดชัดให้ได้เรื่อง ไม่อุบอิบอ้อมแอ้ม หมายความว่า ต้องพูดให้เสียงดังพอควรแก่ผู้ฟัง พูดชัดเจนให้ได้เรื่อง ไม่อุบอิบอ้อมแอ้มให้ผู้ฟังต้องฉงนสนเท่ห์หรือซักถาม 

   มโนจริยา หมายความว่า การแสดงน้ำใจอันงามให้ปรากฏ 

(๑) ผู้ดีย่อมมีความรู้จักงามรู้จักดี หมายความว่าต้องฝึกตาให้รู้จักดู ต้องฝึกหูให้รู้จักฟัง ต้องฝึกจมูกให้รู้จักดม ต้องฝึกลิ้นให้รู้จักลิ้ม ต้องฝึกกายให้รู้จักจับต้อง ต้องฝึกใจให้รู้จักงามอย่างไรดีอย่างไร แล้วฝังจิตใจในความดีความงามนั้นให้แน่นแฟ้น เมื่อได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ก็สามารถเปรียบเทียบให้รู้ได้ เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีที่งาม ดั่งนี้จึงควร 

(๒) ผู้ดีย่อมมีอัชฌาสัยอันกว้างขวางเข้าไหนเข้าได้ หมายความว่าต้องรู้จักเข้าสังคม คบกับบุคคลได้ทุกชนิดโดยการสังเกตและรอบรู้ เช่น รู้ว่าบุคคลนั้น ๆ มีฐานะอย่างไร ตนมีฐานะอย่างไร รู้จักกาลว่าขณะใดควรพูดเป็นเรื่องราว หรือพูดเล่นเพื่อสนุกไม่ถือตัวและแสดงความเมตตากรุณา รู้จักอดทนและให้อภัย และรู้จักรับผิดเมื่อผิดพลาด 

(๓) ผู้ดีย่อมมีอัชฌาสัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใดก็เข้าใจและต่อติด หมายความว่า ต้องวางใจเป็นนักกีฬา คือรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักผิด รู้จักถูก รู้จักยกโทษให้ผู้อื่น มองคนทั้งหลายแต่ในทางที่ดีที่ชอบ มีความอดทน ฟังคนอื่นให้เข้าใจ และรู้จักพูดเล่นติดต่อกับเขาได้ไม่นิ่งเฉยเสีย (ปัจจุบันอาจเรียกว่ารู้จักรับมุข- WS) 

(๔) ผู้ดีย่อมมีความเข้าใจไหวพริบ รู้เท่าถึงการณ์ หมายความว่า ต้องเป็นพหูสูตร คือเรียนรู้ดี ผู้ที่เรียนรู้ดีนั้นต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้ 
    ๑.จำได้ 
    ๒.คล่องปาก 
    ๓.ขึ้นใจ 
   ๔.เข้าใจ 
              คนที่มีลักษณะเช่นนี้เรียกว่า รู้ดี คนที่มีความรู้ดีนั้นเมื่อได้พบได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมรู้เท่าถึงการณ์นั้น นี้กล่าวเฉพาะในส่วนที่เรียนรู้เอาได้ ส่วนไหวพริบอันแท้จริงนั้น เกิดจากธรรมชาติเดิม คือปัญญาเดิมตั้งแต่เกิด มีมาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ปัญญาใหม่ คือวิชาความรู้ที่เล่าเรียนนั้นใครเรียนอย่างใดก็รู้อย่างนั้น เรียนดีรู้ดี ความรู้ดีย่อมทำให้รู้เท่าถึงการณ์ได้ 

(๕) ผู้ดีย่อมมีใจองอาจกล้าหาญ หมายความว่าต้องมีใจแกล้วกล้าอดทน ไม่ย่อท้อในภัยอันตรายอันจะมีมาซึ่งหน้า เช่น เป็นนักรบก็จะไม่กลัวตาย หาญสู้ศัตรูเพื่อประเทศชาติของตน เพื่อรักษาเกียรติประวัติที่ดีไว้ เช่น เป็นนักเรียน เป็นครู เป็นแพทย์ ก็ต้องอดทนกล้าหาญที่จะทำกิจของตน ๆ ไม่ทำใจฝ่อหรือไม่ขลาดกลัวโดยไม่สมควร 

ผนวก ๖ 
ผู้ดีย่อมปฏิบัติการงานดี

หมายความว่า การปฏิบัติการงานดี คือ การทำการงานทุกอย่างอันเป็นหน้าที่ของตนไม่บกพร่อง ไม่คั่งค้าง ทำเสร็จเรียบร้อยด้วยดีตามส่วนของงาน 

   กายจริยา หมายความว่า การปฏิบัติการงาน ซึ่งต้องใช้กายเป็นสำคัญ 

(๑) ผู้ดีย่อมทำการอยู่ในระเบียบแบบแผน หมายความว่าในการกระทำต่าง ๆ ผู้ดีย่อมรักษาระเบียบแบบแผนถือเอาหลักของเหตุผลเป็นสำคัญ ไม่ทำตามอำเภอใจโดยไม่มีหลักอันจะเป็นช่องทางให้เกิดความผิดหรือถูกตำหนิได้ 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ถ่วงเวลาให้ผู้อื่นคอย หมายความว่า ในการนัดหมายเพื่อทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องทำตนให้เป็นคนตรงต่อเวลา ถ้าทำตนให้เป็นคนผิดเวลาแล้ว ย่อมทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนรำคาญด้วย และอาจเสียงานนั้น ๆ ได้ในบางกรณี พลาดเวลาเพียงนาทีเดียว ก็อาจต้องเสียงานหรือเสียเวลาไปหลายวันก็ได้ ดังนั้นจึงควรเป็นคนตรงเวลาเสมอ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่ละเลยที่จะตอบจดหมาย หมายความว่าการตอบจดหมายนั้นเป็นมรรยาทอันดีงาม เพราะถ้าเป็นธุระก็ควรตอบไปให้เสร็จจได้ไม่ลืม ถ้าเป็นจดหมายเยี่ยมเยือนแสดงมิตรภาพก็ควรรีบตอบแสดงน้ำใจอันดีไป เพื่อให้เขาเห็นว่าเรามิได้ละเลยที่จะรักษามิตรภาพนั้น 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่ทำการแต่ต่อหน้า หมายความว่า การงานอันใดที่เป็นของหมุ่คณะ ผู้รับทำงานต้องทำงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปตามที่ได้รับมอบหมายและการทำงานนั้นต้องไม่ทำเฉพาะต่อหน้าคนเท่านั้น ต้องทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง หรือการอย่างอื่น เช่น ไปช่วยงานเขา เมื่อมีความรู้ความสามารถจะทำงานอย่างใดได้ก็ต้องทำงานนั้นทีเดียว เจ้าของจะเห็นหรือไม่ก็ตาม ควรทำจนสุดความสามารถของเราจึงเป็นการชอบแท้ 

   วจีจริยา หมายความว่า การปฏิบัติการงานด้วยคำพูดเป็นสำคัญ 

(๑) ผู้ดีพูดสิ่งใดย่อมให้เป็นที่เชื่อถือได้ หมายความว่า เมื่อจะพูดคำใดคำนั้นต้องเป็นคำที่ออกจากหัวใจจริง คือ พูดตามที่ได้เห็นได้ฟังได้ทำหรือได้รู้สึกมิใช่เสแสร้งแกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง พูดอย่างใดต้องเป็นอย่างนั้นเช่นนี้ คำพูดคำนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือได้ 

(๒) ผู้ดีต้องไม่รับวาจาคล่อง ๆ โดยมิได้เห็นว่าควรจะเป็นได้หรือไม่ หมายความว่า เมื่อจะรับคำเพื่อทำการใดการหนึ่งหรือจะสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเมื่อจะปฎิญาณอย่างใดอย่างหนึ่งกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งใดแห่งหนึ่ง ต้องใครครวญให้แน่แก่ใจก่อนจึงรับคำหรือจึงปฎิญาณ มิใช่ทำแต่สักว่าทำ พูดโพล่ง ๆ ไปโดยไม่ได้คำนึงให้แน่ชัดว่าจะทำได้หรือไม่ เมื่อรับคำแล้วแม้ว่าจะต้องเสียอย่างใดก็ต้องยอมเสีย ต้องถือหลักว่าเสียชีพอย่างเสียสัตย์ 

   มโนจริยา หมายความว่า ตั้งจิตใจมั่นในการปฎิบัติงานทุกอย่างซึ่งเป็นหน้าที่ของตน ปักใจลงในการงานนั้น เห็นว่าการงานดีทั้งหลายรู้ได้เมื่อทำเสร็จ มิใช่รู้ได้เมื่อกำลังทำหรือก่อนทำปักใจลงในการทำงานอย่างนี้ ชื่อว่าปฎิบัติทางใจด้วยดี 

(๑) ผู้ดีย่อมเป็นผู้รักษาความสัตย์ในเวลา หมายความว่า ความสัตย์คือความตรงหรือซื่อตรง ความซื่อตรงเป็นชีวิตจิตใจอันแท้จริงหาไม่ได้ง่ายนัก โบราณท่านว่าร้อยคนยังหาคนกล้าได้คนหนึ่ง แต่หมื่นคนแสนคนจะหาคนซื่อตรงได้สักหนึ่งคนยังไม่ได้ ซื่อตรงต่อตัว คือไม่ทำชั่ว ซื่อตรงต่อคนอื่น คือไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร ๆ ซื่อตรงต่อเวลาคือตรงเวลาในระยะแรก ระยะกลาง คือเวลาทำงาน ระยะสุดท้ายคือเวลาเลิก ชื่อว่าเป็นคนมีความสัตย์ในเวลา 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้เกียจคร้าน หมายความว่าเมื่อลงมือประกอบการงานแล้วไม่ยอมให้การงานนั้น ๆ คั่งค้างต้องทำให้สำเร็จจนสุดความสามารถ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่เข้าใจว่า ผู้ดีทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้ หมายความว่า การประกอบการงานทุกอย่าง ตามปรกติเราต้องอาศัยกันและกัน การงานจึงสำเร็จไปได้ด้วยดี แต่การงานนั้น ๆ จะมัวพึ่งคนอื่นร่ำไปนั้นไม่สมควร ตัวเองต้องทำได้เองด้วย 

(๔) ผู้ดีต้องไม่เพลิดเพลินจนละเลยให้การเสีย หมายความว่า ตามปรกติคนเรานั้นวันหนึ่ง ๆ จะทำอะไรไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องแบ่งเป็นเวลากิน เวลานอน เวลาพัก เวลาเล่น เวลาทำงาน ตามควร เวลาเหล่านี้จึงต้องแบ่งให้ถูกส่วน อย่าให้เสียส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ถึงเวลาทำงานก็ต้องทำงาน ถึงเวลาพักเล่นก็ต้องพักเล่น แต่จะเล่นเพลิดเพลินจนลืมตัวเสียการงานก็ไม่เป็นการสมควร 

(๕) ผู้ดีย่อมเป็นผู้รักษาความเป็นระเบียบ หมายความว่า ระเบียบแบบแผนข้อบังคับ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันใดที่ได้ตั้งไว้บัญญัติไว้ หรือเคยประพฤติกันมาเป็นธรรมเนียมแล้ว ต้องเป็นผู้รักษาระเบียบนั้นไว้ ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของคนทั้งหลายย่อมคุ้มกันไว้ด้วยระเบียบ ไม่มีระเบียบย่อมระส่ำระสายทันที และไม่ว่าจะทำงานการใด หากจัดระเบียบให้ดีแล้วก็จะสะดวกและรวดเร็วเป็นอันมาก ควรจำไว้ว่า ความเป็นระเบียบย่อมงามตาสบายใจให้ความสะดวก ตรงข้ามกับความสับสนย่อมรกตารำคาญใจและให้ความขัดข้อง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ 

(๖) ผู้ดีย่อมเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาเมื่ออยู่ในหน้าที่ หมายความว่า ในกลุ่มคนที่ร่วมงานกันมีหน้าที่อยู่สองอย่าง คือหน้าที่บังคับอย่างหนึ่ง หน้าที่ทำตามอย่างหนึ่ง เราต้องรู้ตัวเราว่า เรามีหน้าที่เช่นไร เมื่อรู้แล้วต้องทำตามหน้าที่นั้น เช่น มีหน้าที่บังคับก็ต้องบังคับ มีหน้าที่ทำตามก็ต้องทำตาม เรามีหน้าที่อย่างไรต้องรักษาหน้าที่นั้นให้บริบูรณ์ไม่บกพร่อง จึงสมควร 

(๗) ผู้ดีย่อมมีมานะในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก หมายความว่า ตามปรกติการงานที่เราทำต้องมีอุปสรรค์ความขัดข้องทั้งนั้น การงานเล็กมีอุปสรรค์เล็ก การงานใหญ่มีอุปสรรคใหญ่ การงานดีมีความขัดข้องมากตามส่วนของการงานนั้น ๆ ในการทำงานถ้าปล่อยให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้ว ย่อมมีความย่อท้อเกิดขึ้น ระงับความย่อท้อไม่ได้การงานก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีความย่อท้อการงานก็สำเร็จได้ด้วยดี เพื่อความสำเร็จของงานต้องตัดความย่อท้อเสีย ต้องไม่คิดถึงความลำบากยากเย็น ต้องถือหลักโบราณว่า ต้องอดเปรี้ยวกินหวาน เมื่อได้ทำการงานสำเร็จแล้วก็จะมีความสบายภายหลัง 

(๘) ผู้ดีย่อมเป็นผู้ทำอะไรทำจริง หมายความว่า เมื่อได้ลงมือทำอะไรแล้ว ต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เช่น เรียนหนังสือ ก็ต้องเรียนให้ถึงที่สุดของวิชาตามชั้นนั้น ๆ ต้องไม่หยุดเสียกลางคัน เป็นต้น เมื่อเป็นกิจการใหญ่ ๆ ต้องทำเรื่อยไปให้สำเร็จ 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้ดึงดันในที่ผิด หมายความว่า ตามปรกติการทำ คำพูด ความคิดของคนเราย่อมมีได้ทั้งผิดทั้งถูก เราเองก็มีทั้งผิดทั้งถูกเพราะเราเองเมื่อสำคัญผิดก็เห็นผิดได้ เมื่อเห็นผิดได้ก็ทำผิดได้ พูดผิดได้คิดผิดได้ แต่เมื่อรู้ว่าผิดแล้วเลิกเสียก็ใช้ได้ แต่ถ้ารู้ว่าผิดแล้ว ยังขืนดึงดันก็เสียหาย เพราะฉะนั้นเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย เมื่อรู้ว่าผิดแล้วก็อย่าดึงดันหรือขืนทำลงไปจึงจะเป็นผลดี 

(๑๐) ผู้ดีย่อมปรารถนาความดี ต่อการงานที่ทำอยู่เสมอ หมายความว่า เมื่อทำการงานใดอย่างหนึ่งต้องหวังความเจริญในการงานนั้น ต้องคอยหมั่นตรวจตราพินิจพิจารณาใหัรอบคอบอย่าทำสักแต่ว่าให้พ้นไปวันหนึ่ง ๆ และต้องหมั่นดูว่างานนั้น ๆ เป็นไปตามความหวังของตนหรือไม่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นไปตามความหวัง ต้องหาทางแก้ไข เมื่อแก้ไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลง หรือหาบุคคลที่สามารถทำให้เป็นไปตามความหวัง ไม่กักงานนั้นไว้เสียคนเดียวแล้วตนไม่สามารถทำได้ การงานนั้นก็เสียหายไป อย่างนี้จึงจะช่วย 

ผนวก ๗ 
ผู้ดีย่อมเป็นผู้ใจดี

หมายความว่า ต้องทำใจของตนให้มีเมตตากรุณา คิดแต่ในทางที่ดีมองคนทั้งหลายในแง่ดี สะสมแต่ความดีต่อกันไว้ อย่างนี้จัดว่าเป็นผู้ใจดี 

   กายจริยา หมายความว่าแสดงออกให้ปรากฏว่า เป็นคนมีใจดีโดยการกระทำทางกาย 

(๑) ผู้ดีเมื่อเห็นใครทำผิดพลาดอันน่าเก้อกระดากย่อมช่วยกลบเกลื่อนหรือทำไม่เห็น หมายความว่า เมื่อเห็นเขาทำผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม ต้องช่วยแก้ไขหรือช่วยให้หายผิด หรือช่วยทำให้ร้ายกลายเป็นดี หรือความผิดพลาดนั้นเป็นความเดือดร้อนแก่ประชาชน เช่น ตำรวจเห็นผู้ร้ายกระทำผิด จะทำเป็นไม่เห็นไม่ควร ต้องจัดการตามหน้าที่ แต่ถ้าความผิดนั้นไม่เป็นการเสียหายกับใคร เช่น ผงติดศีรษะก็ทำไม่เห็นเสียเช่นนี้ ย่อมไม่เสียหาย บางอย่างถ้าทักเข้าเขาจะมีความกระดากอาย ก็ควรทำไม่เห็น ย่อมเป็นการควร 

(๒) ผู้ดีเมื่อเห็นสิ่งของของใครตกหรือจะเสื่อมเสีย ย่อมต้องหยิบยื่นให้ หรือบอกให้รู้ตัว หมายความว่า เมื่อพบของตกไม่ว่าเป็นที่ใด ถ้าเจ้าของอยู่ต้องบอกเจ้าของให้รู้ ถ้าลับหลังเจ้าของต้องเก็บเอาไว้มอบเจ้าหน้าที่ ถ้าในบริเวณโรงเรียน ต้องเก็บเอาไว้มอบให้ครูใหญ่ ในถนนหลวงหรือสถานที่ของตนต้องเอาไปมอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อประกาศหาเจ้าของต่อไป 

(๓) ผู้ดีเมื่อเห็นเหตุร้ายหรืออันตรายจะมีแก่ผู้ใด ย่อมต้องรีบช่วย หมายความว่า ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดกับผู้ใด เมื่อเห็นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นแก่เขา ต้องรีบบอกทันที เช่น รู้ว่าทางเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือรู้ว่าสะพานชำรุด หรือมีสัตวร้ายอยู่ข้างหน้า หรือมีโจรร้ายคอยดักซุ่มหรือมีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งต้องรีบบอกให้เขารู้ทันที มิใช่ปล่อยให้เขามีอันตรายแล้วหัวเราะเล่นเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน ไม่เป็นการสมควร 

   วจีจริยา หมายความว่า แสดงความเป็นผู้มีใจดีให้ปรากฏด้วยการกล่าวทางวาจา 

(๑) ผู้ดีต้องไม่เยาะเย้ยถากถางผู้กระทำผิดพลาด หมายความว่า เมื่อเห็นผู้ใดพลาดพลั้งด้วยเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่เยาะเย้ยให้เขาได้อาย เช่น เขาพลาดล้มไม่หัวเราะเยาะเป็นต้น 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ใช้วาจาอันข่มขี่ หมายความว่าเมื่อพูดกับใคร ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นผู้น้อยหรือผู้ต่ำต้อยด้วยสถานใดสถานหนึ่ง หรือจะเป็นเสมอกันก็ตาม ไม่พูดจาข่มขี่ด้วยประการต่าง ๆ ไม่ว่าในทางใดทั้งนั้น เช่น เห็นเขาสุภาพไม่พูดข่มด้วยท่าทางอันเป็นอันธพาล เห็นเขายากจนไม่พูดข่มเรื่องเงินทองเป็นต้น 

   มโนจริยา หมายความว่า แสดงความเป็นผู้มีใจดีให้ปรากฏจากใจ 
(
๑) ผู้ดีย่อมไม่มีใจอันโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราดแก่ผู้น้อย หมายความว่า ต้องแสดงความมีน้ำใจร่วมสุขร่วมทุกข์ให้ปรากฏ แสดงความเมตตาปรานีให้ปรากฏ ควรยกย่องก็ยกย่องตามควรแก่กาลเทศะ 


(๒) ผู้ดีย่อมเอาใจโอบอ้อมอารีแก่คนอื่น หมายความว่า เมื่อผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากอย่างไร มีโอกาสช่วยเหลือก็ช่วยเหลือ แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและเพื่อนบ้านเรือนเคียงกัน ด้วยให้ปันบ้าง ด้วยช่วยเหลือกิจธุรต่าง ๆ บ้าง ช่วยเหลือในยามเจ็บไข้บ้าง แม้ตามปรกติก็ร่วมสุขร่วมทุกข์แสดงความปรารถนาดีอยู่เสมอ 

(๓) ผู้ดีย่อมเอาใจใส่คนเคราะห์ร้าย หมายความว่า เมื่อเห็นผู้ใดผู้หนึ่งตกทุกข์ได้ยากด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ตกน้ำ ถูกไฟไหม้ ถูกโจรผู้ร้ายปล้น หรือได้รับอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เข้าช่วยเหลือตามโอกาส ไม่ดูดายใจจืดใจดำ ช่วยเหลือตามกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้ นี้เป็นการควร 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่ซ้ำเติมคนเสียที หมายความว่า ในการแข่งขันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เล่นฟุตบอล เมื่อฝ่ายตนชนะก็ไม่ควรซ้ำเติมฝ่ายแพ้ไม่ควรทำดังคำพังเพยว่าได้ทีขี่แพะไล่ ต้องทำตนให้มีน้ำใจนักกีฬา คือรู้แพ้รู้ชนะถึงคราวแพ้ก็ยอมแพ้ด้วยดี ถึงคราวชนะก็ชนะด้วยดีไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ ไม่ทำร้ายลับหลัง เมื่อเขาเสียทีอยู่แล้วก็ไม่ซ้ำเติม ดังคำว่าไม่เหยียบคนที่ล้มแล้วดังนี้ 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้อาฆาตจองเวร หมายความว่า เมื่อมีใครมาทำให้โกรธหรือให้เจ็บช้ำน้ำใจประการใดประการหนึ่งก็ตาม ก็ควรแต่เพียงว่าเจ็บแล้วจำ ก็พอแล้ว คือไม่ควรให้มีอย่างนั้นอีก ให้เป็นการเลิกแล้วกันเสียไม่ควรพูดพยาบาทอาฆาตจองเวร คอยหาโอกาสแก้แค้นกันอยู่ตลอดไป เช่น ผูกใจว่าเขาด่าเรา เราต้องด่าเขาให้ได้ เขาตีเราเราต้องตีเขาให้ได้ อย่างนี้ไม่เป็นการควรเลย ต้องคิดว่า เขาด่าเรา เราต้องหาทางไม่ให้เขาด่าอีก หรือหลีกหนีไปเสียให้ไกล ถ้าหลีกไม่ได้ก็อย่าให้เขามาทำเราอีกก็แล้วกัน ดังนี้จึงเป็นการควรเพราะเวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรแต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร 

ผนวก ๘ 
ผู้ดีย่อมไม่เห็นแก่ตัวถ่ายเดียว

   หมายความว่า ในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเป็นสำคัญ จะเอาแต่ข้างตนเองอย่างเดียวไม่ได้ต้องนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมด้วย ถ้าเอาแต่ส่วนตัวคนอื่นเดือดร้อนไม่ควรแท้แต่ ในทางตรงกันข้าม เอาแต่ประโยชน์คนอื่น ส่วนตัวเดือดร้อน ก็ไม่ควรเหมือนกัน แต่ถ้ารับอาสาเขาทำประโยชน์ของหมู่คณะก็ต้องถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ประโยชน์ส่วนตัวต้องมาเป็นอันดับรอง อย่างนี้จึงเป็นการสมควรแท้ 

   กายจริยา หมายความว่า การแสดงความไม่เห็นแก่ตัวให้ปรากฏโดยการกระทำทางกาย 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่พักหาความสบายก่อนผู้ใหญ่หรือผู้หญิง หมายความว่าในการอยู่ร่วมกันในหมู่ในคณะ ท่านที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็มี ท่านที่เป็นผู้หญิงก็มี ผู้น้อยหรือผู้ชายต้องไม่หาความสบายก่อนผู้ใหญ่หรือผู้หญิง เช่น ในการรับประทาน ต้องช่วยให้ผู้ใหญ่และผู้หญิงรับประทานก่อนจึงรับประทานภายหลังดังนี้เป็นต้น ย่อมเป็นการควร 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่เสือกสนแย่งชิงที่นั่งหรือที่ดูอันใด (คือรู้จักการเข้าคิว- WS) หมายความว่า ไม่คอยช่วงชิงหาโอกาสเพื่อตัวโดยถ่ายเดียว ต้องแลเหลียวถึงผู้อื่นบ้างตามควร เช่น ในการขึ้นรถไม่ควรแย่งกันขึ้น ในการนั่งในที่ซึ่งเขาจัด ไม่ควรแย่งที่นั่งในการดูมหรสพหรือดูอย่างอื่น ไม่ควรแย่งกันดูควรให้ไปตามลำดับแถว หรือเป็นไปตามปรกติแต่ไม่ควรยืดยาดโอ้เอ้ล่าช้า ทำให้ผู้อื่นต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ ต้องทำให้เป็นไปตามควรแก่กาลเทศะ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวแย่งผู้หนึ่งมาจากผู้หนึ่งในเมื่อเขาสนทนากัน หมายความว่า เมื่อผู้หนึ่งกำลังสนทนาอยู่กับอีกผู้หนึ่ง ไม่ควรไปแย่งคู่สนทนาเขา โดยที่ไปแย่งเอาเขามาคุยกับเรา หากมีความจำเป็นด้วยธุระจริง ๆ ก็ควรแจ้งให้เขาทราบก่อนและขอโอกาสเขา หากไม่มีความจำเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ควรทำเป็นเด็ดขาด แม้ในการประกอบธุระอย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน 

(๔) ผู้ดีผู้ใหญ่ จะไปมาลุกนั่งย่อมไว้ช่องให้ผู้น้อยมีโอกาสบ้าง หมายความว่า ในการนั่งในที่ชุมชนตามปรกติเขาจัดที่นั่งที่ยืนไว้ ในการยืนแถวผู้ใหญ่ต้องยืนหน้า ในการนั่ง ผู้ใหญ่ต้องนั่งหน้าเหมือนกัน ในการนี้ทุกคนต้องยืนหรือนั่งตามที่ซึ่งเหมาะสมแก่ตน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ไปยืนข้างหลังหรือนั่งข้างหลังหรือยืนปิดช่อง ก็ทำให้ผู้น้อยไม่สามารถจะนั่งจะยืนหรือจะเดินไปได้ เป็นการไม่สมควรแท้ เพราะฉะนั้นต้องนั่งยืนตามที่ที่เหมาะสมแก่ตนจึงจะเป็นการควร 

(๕) ผู้ดีในการเลี้ยงดู ย่อมแผ่เผื่อเชื้อเชิญแก่คนข้างเคียงก่อนตน หมายความว่า ในการเลี้ยงอาหารควรช่วยเหลือให้คนข้างเคียงตนได้อาหารก่อนและในขณะที่กำลังรับประทานอยู่ควรดูแลเพื่อช่วยเหลือเพิ่มเติมเมื่อเขาบกพร่องบ้าง อย่างนี้จึงเป็นการควร ทั้งนี้นอกจากระเบียบในโต๊ะอาหารที่มีอยู่อย่างเคร่งครัด เช่น เมื่อเขานำมาให้โดยเฉพาะก็หาควรที่จะหยิบไปให้คนอื่นก่อนไม่ และในที่นี้จำต้องช่วยแต่ตนเอง 

(๖) ผู้ดีในที่บริโภค ย่อมหยิบยกยื่นส่งสิ่งของแก่ผู้อื่นต่อ ๆ ไปไม่มุ่งแต่กระทำกิจส่วนตัว หมายความว่า ในขณะที่กำลังรับประทานร่วมกันอยู่ถ้าเป็นวงใหญ่ อาหารย่อมอยู่ห่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในการนี้ผู้ซึ่งอยู่ใกลต้องยื่นส่งอาหารให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ ถ้าเป็นของที่ต้องเฉลี่ยกันก็ต้องส่งต่อ ๆ กันไปจนทั่วถึง ไม่ควรมุ่งแต่เฉพาะตนท่าเดียวต้องคอยช่วยเหลือกันตามโอกาสอย่างนี้จึงเป็นการควร 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่รวบสามตะกรามสี่กวาดฉวยเอาของที่ตั้งไว้เป็นกลาง จนเกินส่วนที่ตัวจะได้ หมายความว่า ในการเลี้ยงร่วมโต๊ะนั้น ย่อมมีอาหารที่เขาจัดไว้เป็นส่วนกลาง ซึ่งคะเนว่าพอแก่จำนวนคนในวงนั้น ในการนี้ผู้ที่มีโอกาสได้แบ่งก่อนก็ไม่ควรแบ่งเอาเสียมากจนเกินไป จนทำให้ผู้ได้โอกาสแบ่งภายหลังไม่ได้ตามควร หรืออาจไม่ได้เลย หรือแม้ในการนั่งในที่รับแขกตามปรกติ เขามักตั้งพานหมากบุหรี่ไว้ ซึ่งตามปรกติก็พอแก่จำนวนคนในชุมนุมนั้น ในการนี้ก็ต้องไม่ฉวยเอาเสียมากมายจนเกินส่วนที่ตนควรจะได้ เช่น ล้วงเอามาตั้งกำมือหรือหลายมวน เป็นต้น อย่างนี้ไม่เป็นอันควร ต้องหยิบเอาแต่เล็กน้อยพอเป็นกิริยาจึงเป็นการควรแท้ 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่แสดงความไม่เพียงพอในสิ่งของที่เขาหยิบยกให้ หมายความว่า ในยามปรกติก็ตาม ในคราวร่วมรับประทานอาหารก็ตามเมื่อมีผู้ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่เรา เราต้องรู้จักเพียงพอ หรือต้องรู้จักเกรงอกเกรงใจเขาบ้างมิใช่ว่าเขาให้แล้วก็เอาเสียหมดเท่าไรไม่รู้จักพอ เช่นนี้ก็เกินไป อาจทำให้ผู้พบเห็นเสื่อมความนิยมได้ เพราะฉะนั้นจำต้องรู้ความพอเหมาะพอควรคือต้องรู้จักเพียงพอบ้าง ถ้าเป็นของรับประทานก็เอาแต่พอเท่านั้น ไม่ควรเอาจนเหลือซึ่งจะต้องทิ้งเสีย ต้องรู้ความพอเหมาะพอควรอย่างนี้จึงเป็นการควร 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่นิ่งนอนใจให้เขาออกทรัพย์แทนส่วนตัวเสมอไป เช่น ในการเลี้ยงดูหรือใช้ค่าเดินทางเป็นต้น หมายความว่า ในการเดินทางร่วมกัน เมื่อมีผู้ใดจัดค่าเดินทางให้ จัดค่าอาหารให้ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจให้เขาต้องออกไปฝ่ายเดียว ทางที่ดีที่สุดนั้นควรเฉลี่ยตามส่วนเท่า ๆ กันเป็นเหมาะแท้ แต่ถ้าเขาไม่ยอมให้เฉลี่ยก็ต้องหาโอกาสตอบแทนเขาบ้างตามควรไม่ใช่ทำเฉยเมยเอาเขาข้างเดียว ต้องแสดงมิตรจิตมิตรใจตามควรแก่โอกาส 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่ลืมที่จะส่งของซึ่งคนอื่นได้สงเคราะห์ให้ตนยืม หมายความว่า เมื่อยืมของเขามาใช้ ควรรีบส่งคืนเขาทันทีเมื่อเสร็จธุระแล้ว นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องรักษาให้คงสภาพอยู่เช่นเดิม ถ้าขาดจำนวนหรือเสื่อเสียด้วยประการใด ต้องจัดการให้คงสภาพตามเดิม ไม่ใช่ทำลืม ถ้าไม่ส่งคืนย่อมเป็นการเสียแท้ หรือไม่ส่งจนเขาต้องทวงคืนก็ไม่ควร ต่อไปจะยืมเขาไม่ได้อีก หรือไม่กล้าไปยืมเขาเป็นการตัดทางตนเอง ในทางตรงกันข้ามถ้าเขายืมเราไม่ส่งคืน เมื่อมายืมอีก เราก็ไม่ให้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมือยืมของต้องรักษาให้คงสภาพและต้องส่งคืนทันทีเมือ่เสร็จธุระแล้ว หรือตามสัญญาที่ให้ไว้ ดังนี้จึงเป็นการสมควร 

(๑๑) ผู้ดีเมื่อได้รับสิ่งของหรือเลี้ยงดู ซึ่งเขาได้กระทำแก่ตนย่อมต้องตอบแทนเขา หมายความว่าเมื่อได้รับอุปการะจากผู้ใดก็ไม่ลืมบุญคุณของท่านผู้นั้น และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านตามกำลังความสามารถของตน เช่นพ่อแม่เลี้ยงเรามา ต้องเลี้ยงท่านตอบ ครูอาจารย์สอนวิชาความรู้เรามา ต้องสนองคุณท่าน เพื่อนบ้านหรือเพื่อนฝูงสงเคราะห์เรา เราต้องสงเคราะห์ตอบ ดังนี้จึงเป็นการสมควร 

   วจีจริยา หมายความว่า การแสดงความไม่เห็นแก่ตัวให้ปรากฏทางวาจา 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ขอแยกผู้หนึ่งมาจากผู้ใดเพื่อจะพาไปพูดจาความลับกัน หมายความว่า ในขณะที่เขากำลังร่วมชุมนุมกันอยู่ เราไม่ควรจะแยกผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งอยู่ในชุมนุมนั้นออกไปจากหมู่เพื่อจะไปพูดความลับอย่างใดอย่างหนึ่งเลยเป็นอันขาด หากมีความจำเป็นรีบด่วน ก็ควรจะแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าใจเอง และปลีกตัวออกไปเอง แล้สเราก็หาโอกาสพูดในเวลานั้น หากไม่ได้โอกาสก็จำต้องปล่อยไปก่อน ไม่ควรแยกออกมาเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นที่ระแวงสงสัยของบุคคลผู้อื่นได้ 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่สนทนาแต่เรื่องของตนถ่ายเดียว จนคนอื่นไม่มีช่องจะสนทนาเรื่องอื่นได้ หมายความว่า ในการสนทนาปราศรัยกันนั้น ไม่ควรยกเอาแต่เรื่องของตนเองมาพูด จนกลายเป็นว่าสนใจแต่เรื่องของตนคนเดียว ซึ่งอาจจะทำให้ผู้อื่นเบื่อหน่ายหรือรำคาญ เพราะไม่มีโอกาสฟังหรือพูดเรื่องอื่น และในชุมนุมเช่นนั้น ควรเป็นผู้ฟังมากกว่าเป็นคนพูด ควรให้โอกาสคนอื่นพูดมากกว่าตน เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องแปลก ๆ เพิ่มขึ้น ดังนี้ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่นำธุระของตนเข้ากล่าวแทรกในเวลาธุระอื่นของเขาชุลมุน หมายความว่า เมื่อคนทั้งหลายกำลังทำธุระชุลมุนวุ่นวายอยู่เช่นนั้น ไม่ควรนำธุระของเราเข้าไปแทรกแซงขึ้นในขณะนั้น ต้องรอจนกว่าผู้อื่นจะหมดธุระก่อน จึงพูดธุระของเราต่อไป 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่กล่าววาจาติเตียนของที่เขาหยิบยกให้ว่าไม่ดีหรือไม่พอ หมายความว่า เมื่อใครให้อะไรแก่เรา ไม่ว่าของนั้นจะเป็นของรับประทานหรือของใช้ก็ตาม เราไม่ควรติเตียนสิ่งนั้นโดยประการใดประการหนึ่ง เช่นว่าไม่ดีหรือไม่พอเป็นต้น ถึงแม้จะรู้สึกเช่นนั้นก็ต้องเก็บไว้ในใจจึงจะควร 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่ไต่ถามราคาของที่เขาหยิบยกให้ตน หมายความว่า เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งนำสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาให้เรา เราไม่ควรถามราคาของนั้นในขณะนั้นเป็นอันขาด แม้มีความปรารถนาจะรู้ก็ควรหาทางอื่นที่จะสืบถามไม่ใช่ถามกับตัวผู้ให้เอง 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่แสดงราคาของที่จะหยิบยกให้แก่ผู้ใดให้ปรากฏ หมายความว่า เมื่อจะให้อะไรแก่ใคร ไม่จำเป็นต้องแสดงราคาสิ่งนั้นให้ปรากฏแก่เขา เพราะถึงอย่างไรก็ตามเขาอาจรู้ได้เอง ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสิ่งของนั้นย่อมแสดงถึงน้ำใจของผู้ให้เท่านั้นว่ามีน้ำใจเพียงใด บางทีของอาจน้อย แต่น้ำใจมาก ก็ย่อมเป็นที่ชื่นใจของผู้รับได้เหมือนกันดังนี้ 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่ใช้วาจาอันโอ้อวดตนและลบหลู่ผู้อื่น หมายความว่า การพูดโอ้อวดย่อมทำให้ผู้ฟังหมดความเมตตาปรานี และยิ่งเป็นการลบหลู่คนอื่นด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรอย่างแท้จริง เช่น พูดว่าตนดีอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นการยกตยอวดตน ถ้าพูดว่าตนดีกว่าคนนั้นคนนี้ นี้เป็นการลบหลู่คนอื่น ถ้าพูดทั้งโอ้อวดตนและลบหลู่คนอื่นย่อมเป็นการไม่สมควรแท้ ต้องถ่อมตนและยกย่องคนอื่นจะดีกว่า 

   มโนจริยา หมายความว่า การแสดงความไม่เห็นแก่ตัวแต่ถ่ายเดียวให้ปรากฏทางใจ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่มีใจมักได้เที่ยวขอของเขาร่ำไป หมายความว่า เมื่อเห็นของเขาทำไว้สวย ๆ งาม ๆ น่าดูน่าชมก็เกิดอยากได้ เมื่อหาเองไม่ได้ ความมักได้เข้าครอบงำก็ขอเขา ต้องการเมื่อไหร่ขอเมื่อนั้น ขอเขาร่ำไป ตามปรกติมีคำเตือนว่า ผู้ขอย่อมไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ถูกขอ ผู้ถูกขอเมื่อไม่ให้ย่อมไม่เป็นที่ถูกใจของผู้ขอ ควรหลีกเลี่ยงจากคำเตือนนี้ อย่าให้มีขึ้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ควรขอของของใครทั้งสิ้น หากจำเป็นต้องขอก็ขอแต่พอเหมาะพอควร และควรขอแต่เฉพาะบุคคลที่เขายอมให้ขอเท่านั้น ก็ต้องขอแต่สิ่งที่ควรขอเท่านั้น อย่างนี้จึงเป็นการควร 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ตั้งใจปรารถนาของรักเพื่อน หมายความว่า ของ ๆ เพื่อนไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสัตว์หรือเป็นข้าวของใด ๆ ก็ดีซึ่งเพื่อนรักมาก เราไม่ควรมีจิตปรารถนาอยากได้ของเขา เพราะควรเห็นใจว่าเขารักเขาก็ต้องหวง หากไปคิดปรารถนาเข้าแล้ว อาจกระทำผิดลงไปอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่พึงใจการหยิบยืมข้าวของเงินทองซึ่งกันและกัน หมายความว่า ตามปรกติเมื่อมีความจำเป็นก็ต้องหยิบยืมกันบ้างแต่ไม่ควรพอใจในการทำเช่นนั้นตลอดไป เพราะการทำเช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้แตกสามัคคีหรือผิดใจกันได้ ยิ่งเป็นเงินเป็นทองด้วยแล้ว ไม่เป็นการบังควรแท้ การหยิบยืมเพื่อการลงทุนค้าขายก็ยังพอทำเนา แต่ก็ต้องทำเป็นครั้งเป็นคราว และควรส่งคืนตามกำหนด แต่การหยิบยืมเขามากินมาใช้ไม้เป็นการบังควรเลยเป็นอันขาด ดังนั้น จึงไม่ควรพอใจก่อหนี้สินเสียเลยจะดีกว่า 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่หวังแต่จะพึ่งอาศัยผู้อื่น หมายความว่า ตามปรกติเมื่อคนเราอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นพวก ต่างก็ต้องพึงพาอาศัยกัน แต่เราจะหวังแต่จะพึ่งพาอาศัยเขาถ่ายเดียวย่อมไม่เป็นการสมควร ควรให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร้จด้วยลำแข้งของตัว โดยที่สุดแม้พ่อแม่ซึ่งเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเรานั้น ท่านก็ยังมีวันถึงเวลาแก่เฒ่า และในกาลนั้นเราก็ต้องให้ท่านอาศัยบ้าง ไม่ควรตั้งหน้าตั้งตาอาศัยท่านโดยส่วนเดียว ดังนี้จึงเป็นการควร 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้เกี่ยงงอนทอดเทการงานตนให้ผู้อื่น หมายความว่า การงานอันใดซึ่งเป็นหน้าที่ของตนจะมากก็ตามน้อยก็ตาม ต้องทำให้เสร็จตามกำหนด ไม่ควรปัดความรับผิดชอบให้คนอื่น แม้การประกอบการงานร่วมกัน ก็มิบังควรเกี่ยงงอนกัน ต้องช่วยกันจัดช่วยกันทำจนสุดกำลังความสามารถด้วยกัน ดังนี้จึงควร 

(๖) ผู้ดีย่อมรู้คุณที่ผู้อื่นได้ทำแล้วแก่ตน หมายความว่า เมื่อได้รับอุปการะจากใครแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรลืมบุญคุณเขา ควรบูชาเขาด้วยกายวาจาใจ เมื่อยังไม่มีโอกาสทดแทนก็ทำในใจไว้ เมื่อมีโอกาสเมื่อใด จงรีบตอบสนองทันที นี้จึงเป็นการสมควร 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่มีใจริษยา หมายความว่า เมื่อเห็นใครได้ดีก็พึงพลอยยินดีกับเขา ไม่ตั้งหน้าตั้งตาคิดริษยาตัดรอนเขา คนที่อิจฉาริษยาเขานั้น ถ้าเป็นใหญ่กว่าเขา ก็เท่ากับลดตัวลงมาต่ำกว่าเขา ถ้าเป็นผู้น้อยกว่าเขาก็เท่ากับยกตนขึ้นเหนือลม ไม่เป็นการดีเลย ควรพลอยยินดีกับเขาเมื่อเขาได้ดีจึงเป็นการควร 

ผนวก  
ผู้ดีย่อมรักษาความสุจริตซื่อตรง

   หมายความว่า ความสุจริตซื่อตรงนี้เป็นเกราะกันได้เป็นอย่างดี บุคคลควรเอาหลักธรรมข้อนี้เป็นหลักใจของตน ดำรงอยู่ในความซื่อตรงสุจริตเสมอ 

   กายจริยา หมายความว่า การแสดงความสุจริตซื่อตรงให้ปรากฏโดยการกระทำทางกาย 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ละลาบละล้วงเข้าห้องเรือนแขกก่อนเจ้าของเขาเชิญ หมายความว่า เมื่อไปถึงบ้านใดบ้านหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าบ้านเขา ต้องบอกให้เขารู้และได้รับอนุญาตจากเขาก่อน โดยที่เขาออกมาเชื้อเชิญ ถ้าเขายังไม่เชิญไม่ควรเข้าเป็นเด็ดขาด ถ้าขืนทำ ความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุนี้เมื่อจะเข้าบ้านใคร จึงควรรอเจ้าของบ้านเชิญเสียก่อน อย่างนี้จึงเป็นการควร 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่แลลอดสอดส่ายโดยเพ่งเล็งเข้าไปตามห้องเรือนแขก หมายความว่า เมื่ออยู่ในบ้านเรือนของใคร ไม่สอดส่ายสายตาเที่ยวดูโน่นดูนี่เป็นทำนองตื่นเต้นหรือเป็นทำนองดูหมิ่น หรือเป็นทำนองดูว่ามีอะไรอยู่ที่ไหนในลักษณะสอดส่ายผู้อยากรู้อยากเห็น ดังนี้ไม่เป็นการควร ต้องระมัดระวังตาหู สำรวมอยู่เป็นปรกติ ไม่ตื่น ไม่สอดส่าย จึงเป็นการควร 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวฉวยโน่นหยิบนี้ของผู้อื่นจนดูเหลือเกินราวกับว่าจะค้นหาสิ่งใด หมายความว่า เมื่ออยู่ในบ้านเรือนผู้ใด ไม่เที่ยวซอกแซกค้นสิ่งของต่าง ๆ ให้กระจุยกระจายไปตามต้องการ ซี่งอาจทำให้เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย เพราะทำทีเสมือนหนึ่งมีของต้องห้ามอยู่ในบ้านนั้นหรือจะซ่อนเร้นอะไรไว้ในบ้านนั้น เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังตน จะหยิบดูสิ่งใดก็อยู่ในลักษณะที่สุภาพเรียบร้อยควรแก่กาลเทศะ 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวขอหรือหยิบฉวยดูจดหมายของผู้อื่นที่เจ้าของไม่ประสงค์จะให้ดู หมายความว่า ไม่ควรเปิดดูจดหมายของผู้อื่น ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้นเว้นแต่เขามอบให้เป็นหน้าที่ ขยายความกว้างออกไป เรื่องส่วนตัวของคนอื่นไม่ว่าเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ควรสอดรู้เลยเป็นอันขาด เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขา 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวขอหรือดูสมุดพกหรือสมุดจดรายงานบัญชีของผู้อื่น ซึ่งตนไม่มีธุระเกี่ยวข้องเป็นหน้าที่ หมายความว่า สมุดพกนั้น ตามปรกติเขาจดเรื่องต่าง ๆ ๆเป็นส่วนตัว หรือเป็นส่วนที่เจ้าของจะต้องกำหนดจดจำไว้เป็นพิเศษ หรือสมุดจดรายการบัญชีสิ่งต่าง ๆ ทั้งรับทั้งจ่ายอันเป็นส่วนตัวของเขา ไม่ควรขอเขาดู หรือไม่ควรไปเที่ยวหยิบดูเฉย ๆ ต้องยับยั้งชั่งใจอย่าเผลอไปทำเข้า จะเป็นการเสียมรรยาทอย่างยิ่ง 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น หมายความว่า โต๊ะเขียนหนังสือนั้นก็เข้าลักษณะเฉพาะตัวเหมือนกัน เพราะเจ้าของโต๊ะอาจทำหรือเก็บงำสิ่งใดไว้เพื่อประโยชน์ของตนโดยเฉพาะ หรือมีเรื่องเกี่ยวกับตนโดยเฉพาะ จึงไม่ควรเที่ยวนั่ง ณ ที่นั้น 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวเปิดหนังสือตามโต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น หมายความว่า หนังสือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะของเขานั้น ภายในหนังสือนั้นอาจมีอะไรซึ่งเจ้าของเขาต้องการสอดไว้เฉพาะตัว หรือมีเรื่องเฉพาะตัวอยู่ในนั้นจึงไม่ควรเที่ยวเปิดดู การทำเช่นนั้นเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ก็อาจถูกระแวงสงสัย เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการควรเลยที่จะทำ 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่เข้าแทรกเข้าหมู่ผู้อื่น ซึ่งเขาไม่ได้เชื้อเชิญ หมายความว่า ตามปรกติคนเราย่อมมีความคุ้นเคยกันเป็นหมู่เป็นพวก และมักจะเป็นไปในบุคคลผู้มีอัธยาศัยใจคอเดียวกัน เสมอใจกัน กลายเป็นหลายหมู่หลายพวกขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นลักษณะแตกหมู่แตกพวก เมื่อคนทั้งหลายกำลังรวมกลุ่มอยู่เช่นนั้น เราไม่ควรเข้าแทรกแซงเลยเป็นอันขาด เว้นไว้แต่เขาเชื้อเชิญ แม้แต่เขาเชื้อเชิญก็ต้องใคร่ครวญโดยชอบด้วยเหตุผล จะควรเพียงใด พึงระวังรักษากิริยาให้สุภาพเรียบร้อย ตามควรแก่กาละเทศะ 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่ลอบแอบฟังคนพูด หมายความวา ในขณะทีเขากำลังพูดกันอยู่ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในที่ใด ๆ ในห้องก็ดี ในที่แจ้งก็ดี ไม่ควรแอบฟังความที่เขาพูดกัน หมายความว่า เรื่องของคนอื่นแล้วไม่สมควรสอดรู้สอดเห็นเลย 

(๑๐) ผู้ดีย่อมไม่แอบดูการลับ หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นความลับ หรือเป็นส่วนเฉพาะของเขา เราไม่ควรดูเรื่องเช่นนั้นเลยเป็นเด็ดขาด 

(๑๑)ถ้าเห็นเขาจะพูดความลับกัน ผู้ดีย่อมต้องหลบตาหรือลี้ตัว หมายความว่า อันความลับของใคร ๆ นั้นไม่ควรแสดงอาการสอดแทรกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความลับของผู้อื่น การปลีกตัวเพื่อเปิดโอกาศให้เขาพูดความลับกันได้โดยไม่ต้องระแวงใครย่อมเป็นมรรยาทอันดีอย่างหนึ่ง การเที่ยวสอดรู้สอดเห็นนั้น ถ้าหากความลับนั้นไปเปิดเผยขึ้น เขาก็โทษเราหรือระแวงสงสัยว่าเราจะเป็นผู้เปิดเผย ถ้าหากเป็นความลับที่ถึงคอขาดบาดตาย เขาก็อาจฆ่าเราก่อนเพื่อปิดความลับของเขาก็ได้ 

(๑๒)ถ้าจะเข้าห้องเรือนผู้ใด ผู้ดีย่อมต้องเคาะประตูหรือกล่าววาจาให้เขารู้ตัวก่อน หมายความว่า เมื่อจะเข้าในที่ใด ต้องแสดงตัวให้เขารู้ก่อน เมื่อจะเข้าห้องใดต้องกระแอมไอหรือเคาะประตู หรือให้สัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งให้คนภ่ยในรู้ก่อน ไม่ควรพรวดพราดเข้าไป ซึ่งเป็นการเสียมรรยาท 

   วจีกิริยา หมายความว่า การแสดงความสุจริตซื่อตรงให้ปรากฏทางวาจา 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่สอดแทรกไต่ถามธุระส่วนตัวหรือการในบ้านของเขาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแก่ตน หมายความว่า อันธุระส่วนตัวของเขาหรือการในบ้านของเขา เราไม่ควรซอกแซกถาม ตามปรกติเราถามแต่เพียงถึงทุกข์ถึงสุขของกันและกันเท่านั้น เว้นไว้แต่เรามีหน้าที่เช่น เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นเพื่อนสนิทของเขา เพื่อรู้ความเป็นไปของเขา หากมีโอกาสจะช่วยเหลือได้อย่างใดบ้าง หรือเพื่อคลายความห่วงใยในเขา แม้เช่นนั้น ก็ต้องระมัดระวังให้เป็นการเฉพาะจริง ๆ และให้รู้ใจกันจริง ๆ เท่านั้น นอกนั้นไม่ควรเลย 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่เที่ยวถามเขาว่านั่นเขียนหนังสืออะไร หมายความว่า เมื่อเห็นเขากำลังเขียนหนังสือยู่ ซึ่งมิใช่หนังสือเปิดเผยในกระดานดำ เป็นหนังสือทำนองจดหมายก็ไม่ควรถามเขา 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่ถามถึงผลประโยชน์ที่เขาหาได้เมื่อตนไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง หมายความว่า ไม่ควรถามรายได้ของเขา เช่น ไม่ถามถึงเงินเดือนเป็นต้น นอกจากเป็นผู้มีหน้าที่ต้องการช่วยเหลือ หรือเป็นผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคยกันก็ควรถามได้ แต่ต้องให้เป็นการเฉพาะ 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่เอาการในบ้านของผู้ใดมาแสดงในที่แจ้ง หมายความว่า เรื่องภายในครอบครัวของเขา ซึ่งเรารู้มา แม้ถึงจำเป็นอย่างไร เช่น เขาทำให้เราโกรธ เราก็ไม่ควรนำเอาเรื่องเช่นนั้นของเขามาพูดในที่แจ้ง คือที่ชุมนุมชน โดยที่สุดแม้เรื่องภายในครอบครัวเราเองก็เช่นกัน ไม่ควรนำมาเปิดเผยในที่แจ้งเป็นอันขาด 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่เก็บเอาความลับของผู้หนึ่งมาเที่ยวพูดกับผู้อื่น หมายความว่า สิ่งที่เรียกว่าความลับนั้นได้แก่สิ่งที่เขารู้เฉพาะในวงของเขาหรือเฉพาะตัวเขา ความลับแบ่งออกได้เป็นอย่าง ๆ คือ ความลับเฉพาะตัว รู้ได้คนเดียว บุคคลที่ ๒ รู้ไม่ได้ ความลับเฉพาะสองคน บุคคลที่สามรู้ไม่ได้ ความลับในครอบครัว คนนอกครอบครัวรู้ไม่ได้ ความลับของหมู่คณะ บุคคลนอกหมู่คณะรู้ไม่ได้ ความลับของประเทศชาติ บุคคลนอกประเทศต่างชาติรู้ไม่ได้ เมื่อเรารู้ความลับของใคร ๆ เราก็ไม่ควรพูด ควรถือคำโบราณว่า รู้แล้วพูดไป สองไพเบี้ย รู้แล้วนิ่งเสีย ตำลึงทอง ดังนี้ 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่กล่าวถึงความชั่วร้ายอันเป็นความลับเฉพาะบุคคลในที่แจ้ง หมายความว่า อันธรรมดาบุคคลเรานั้น ย่อมมีทั้งดีทั้งชั่วปะปนกันอยู่ ในบุคคลเดียวก็มีทั้งสองอย่าง เราดูบุคคลเราก็ควรดูทั้งสองอย่าง แต่สิ่งที่เราควรถือเอาก็คือความดีของเขา เราไม่ควรจำความชั่วของเขาไว้ หากเราจะจำได้บ้างเราก็ไม่ควรพูดในที่ใด ๆ แก่ใคร ๆ เลย ถ้าขืนพูดไปก็คือแสดงถึงจิตใจอันชั่วร้ายของเราเอง ดังนั้นจึงไม่ควรพูด 

(๗) ผู้ดีย่อมไม่พูดสับปลับกลับกลอกตลบตะแลง หมายความว่า เมื่อพูดคำใดแล้วต้องยืนคำนั้น แม้ว่าคำนั้นจะให้โทษแก่เรา เราก็ต้องยอม การพูดกลับไปกลับมา ย่อมไม่ได้รับความนับถือจากใคร ๆ เลย ดังนั้นจึงไม่ควรพูด 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่ใช้คำสบถติดปาก หมายความว่า ในขณะที่พูดนั้น เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามเถิด ขแแต่ให้พูดให้เขาเข้าใจก็แล้วกัน ในเวลาเช่นนั้น ไม่ควรใช้คำสบถอย่างใดอย่างหนึ่งเลย โดยที่สุดแม้พูดว่า ถ้าไม่เชื่อให้ไปถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่ควร ต้องพยายามระมัดระวังให้มากที่สุด หรือแม้ที่สุด เมื่อะไรมคร เขาตอบแล้ว ฟังเข้าใจแล้ว ก็ควรพอใจแล้ว ไม่ควรไปถามย้ำคำเขาอีกว่า จริงหรือแน่หรืออีก เพราะคำเช่นนั้น เป็นการแสดงว่าไม่เชื่อเขา ถ้าหากไม่เชื่อก็ควรอยู่แต่ในใจของเรา 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่ใช้ถ้อยคำมุสา หมายความว่า ไม่ควรพูดคำเท็จเลย ถ้าจำเป็นต้องพูดก็พึงนิ่งเสียหรือหลีกเลี่ยงเสีย พูดคำใดคำนั้นเป็นคำจริง คือพูดตามเห็นตามรู้ ความจริงพูดเท็จนี้ยากกว่าพูดจริง เพราะต้องคิดสร้างเรื่องเอาใหม่ทั้งหมด ส่วนคำจริงนั้นพูดง่าย คือเห็นอย่างไร รู้อย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ดังนั้นจึงควรพูดแต่คำจริง เพราะคำจริงเป็นคำที่ไม่ตาย 

   มโนกิริยา หมายความว่า การแสดงความสุจริตซื่อตรงให้ปรากฏด้วยความคิด 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่เป็นคนที่ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง หมายความว่า ต่อหน้าอย่างไร ลับหลังต้องอย่างนั้น ไม่ควรทำอย่างคนโบราณว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก หรือ หน้าไหว้หลังหลอก ต้องทำตรงไปตรงมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงสมควรแท้ 

(๒) ผู้ดีย่อมเป็นผู้รักษาความไว้วางใจของผู้อื่น หมายความว่า เมื่อได้รับความไว้วางใจแล้ว ควรรักษาความไว้วางใจนั้น ให้เขาไว้วางใจได้อย่างแท้จริง มิใช่ว่าเขาไว้ใจแล้วก็เที่ยวเปิดเผยเรื่องอันปกปิด ดังนี้ใช้ไม่ได้ ต้องรักษาความไว้วางใจที่เขาได้ให้แก่ตนจึงจะสมชื่อ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่แสวงหาประโยชน์ในทางผิดธรรม หมายความว่า เรื่องประโยชน์นี้ ใคร ๆ ก็ต้องการ แต่การแสวงหาประโยชน์ต้องแสวงหาโดยความเป็นธรรม ถ้าแสวงหาผิดธรรมแล้ว ประโยชน์ที่ได้เพราะความผิดธรรมนั้น ย่อมจะเผาตน ทำตนให้เดือดร้อน เพราะมีประโยชน์เช่นนั้น เช่น คนร่ำรวยเพราะโกงเขาฉ้อเขา ในที่สุดจะต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรทำเลย 

(๔) ผู้ดีย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเที่ยงตรง หมายความว่า ความเที่ยงตรงนี้ ย่อมบันดาลให้คนเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะอย่างไร ถ้ามีความเที่ยงตรงแล้วย่อมได้รับความเคารพนับถือทั่วไป ควรพยายามวางตนอยู่ในลักษณะนี้ อธิบายคำว่าเที่ยงตรง คือความยุติธรรมถือหลักธรรมเป็นใหญ่ เช่น เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นในระหว่างคน ๒ คน เราจะเป็นผู้ตัดสิน ก็ต้องตัดสินโดยปราศจากอคติ ๔ ประการ ได้แก่ ความลำเอียงเพราะรัก เพราะโกรธ เพราะกลัว และเพราะหลง ผู้มีใจเป็นกลางไม่เข้ากับคนผิด จึงได้ชื่อว่าเป็นคนเที่ยงตรง

ผนวก ๑๐ 
ผู้ดีย่อมไม่ประพฤติชั่ว

   หมายความว่า ความชั่วคือความเสียหายสกปรกลามก คนที่ทำอย่างนั้น เรียกว่าประพฤติชั่ว ผู้ดีไม่ควรประพฤติเช่นนั้น ความจริงก็ประพฤติไม่ได้อยู่เอง จึงชื่อว่าผู้ดี ถ้าประพฤติชั่ว ความเป็นผู้ดีก็หมดไป เพราะฉะนั้น ผู้ดีจึงไม่ประพฤติชั่ว 

   กายจริยา หมายถึงความประพฤติทางกาย คือ เว้นความชั่วทางกาย 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่เป็นพาลเที่ยวเกะกะระรั้วและกระทำร้ายคน หมายความว่า ผู้ดีย่อมไม่ทำตัวให้เป็นพาลเกเรต่อใคร ๆ เข้าตำราว่า ตัวโตกว่าข่มเหงผู้น้อยกว่า มั่งมีกว่าระรานคนจน มีอำนาจกว่าระรานผู้น้อยกว่า แม้คนเสมอกันก็ไม่ควรเป็นพาล ต้องแสดงตนให้เห็นว่ามีเมตตากรุณาต่อคนทั้งหลายทั่วไป จึงเป็นการสมควร 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่ข่มเหงผู้อ่อนกว่า เช่น เด็กหรือผู้หญิง หมายความว่า เมื่อเห็นใครสู้ไม่ได้ก็ไม่ควรจะข่มเหงเขา จะว่าใครต้องว่าต่อหน้า จะสู้รบตบมือกับใครก็ต้องให้โอกาสเขาต่อสู้ มิใช่เห็นเขาอ่อนกว่าด้อยกว่าแล้วก็ทำเอาทำเอา เช่นนี้ไม่เป็นการสมควรเลย กลายเป็นคนข่มเหงเด็กข่มเหงผู้หญิง ควรงดเว้น เมื่อเห็นผู้อ่อนกว่าหรือผู้หญิงควรให้ความกรุณาปรานีตามควร จึงเป็นการดี 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเจ็บอาย เพื่อความสนุกยินดีของตน หมายความว่า ไม่ถือเอาความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นความสนุกสนานของตน เช่น เด็กจับจิ้งหรีดมากัดกันเล่นเห็นเป็นสนุกสนาน หรือคนผู้ใหญ่กัดปลา ชนไก่ หรือแหย่คนอื่นเล่น เขาเดือดร้อนเป็นสนุกสนาน หรือจับคนมาทรมานเล่นหรือจับมาโกนหัวแล้วปล่อยไป เห็นเป็นสนุกสนานเป็นต้น ไม่ดีเลย ไม่ควรทำแท้ 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่หาประโยชน์ด้วยอาการที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หมายความว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนแต่คนอื่นต้องเดือดร้อน ไม่ควรทำเป็นเด็ดขาด 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด หมายความว่า อันสุราเมรัยนั้น เป็นของเสพติดให้โทษ ทำให้ผู้เสพมึนเมา แต่สุรานั้นบางครั้งก็ใช้เป็นยาได้บ้าง เมื่อมีความจำเป็นจะต้องดื่มบ้าง เช่นในคราวถูกงูกัด หรือในคราวที่หญิงคลอดบุตร เป็นต้น ก็พึงดื่มกินได้บ้าง หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นก็ดื่มกินได้บ้าง แต่ไม่ควรให้ถึงมึนเมา และไม่ควรดื่มเป็นอาจิณจนติด ในทางที่ถูกนั้น ควรงดเว้นเสียดีกว่า เพราะมีแต่โทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น 

(๖) ผู้ดีย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม เช่น กัญชา ฝิ่น หมายความว่า อันของยาเสพติดให้โทษทุกชนิด ย่อมมีแต่โทษ เป็นสิ่งอันเลวทรามต่ำช้า ทำให้ผู้เสพกลายเป็นคนเลวทรามไปด้วย ยิ่งมั่วสุมจนติดแล้ว ก็ยิ่งให้โทษมาก ดังนั้นคนสูบฝิ่นกินกัญชา จึงได้รับโทษมากมาย เป็นของควรงดเว้นโดยเด็ดขาด (ปัจจุบันอาจหมายรวมถึงสารเสพติดในรูปแบบใหม่ ๆ ด้วย -WS)

(๗) ผู้ดีย่อมไม่หมกมุ่นในการพนัน เพื่อจะปรารถนาทรัพย์ หมายความว่า การพนันทุกชนิดไม่ใช่เป็นทางหาทรัพย์ การแสวงหาทรัพย์ย่อมมีในทางอื่น เช่น การประกอบการงานอันสุจริต เป็นต้น และเศรษฐีการพนันก็ไม่เคยปรากฏในโลก ผู้ปรารถนาทรัพย์จึงไม่ควรหมกมุ่นในทางนั้น คิดดูง่าย ๆ ทรัพย์ที่นำไปเล่นการพนันนั้น ก็เป็นทรัพย์ที่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อที่ตนได้ทำการงานต่าง ๆ ทั้งนั้น น้อยนักหนาที่จะใช้ทรัพย์ที่เกิดจากการพนันไปเล่นการพนัน เพราะฉะนั้นควรเว้นให้ได้เด็ดขาด 

(๘) ผู้ดีย่อมไม่ถือเอาเป็นของตน ในสิ่งที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตให้ หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ของตนแล้วไม่ควรถือเอาทั้งนั้น ไม่ว่าของนั้นจะดีวิเศษอย่างไร จะถือเอาสิ่งใดต้องได้รับอนุญาตก่อนเสมอ แม้ในของที่ได้รับอนุญาตนั้นเล่าก็ควรรู้ประมาณด้วย เพราะบางทีผู้ให้อาจให้ด้วยความจำใจก็ได้ ตามปรกติคนที่มีอำนาจวาสนาหรือสูงศักดิ์ ไม่ควรทักของใครว่าดีหรือซื้อเทียมขอเป็นอันขาด เพราะในการเช่นนั้นผู้ให้อาจให้ด้วยความไม่เต็มใจก็ได้ แต่มีข้อยกเว้นอยู่อย่างหนึ่งที่อาจถือเอาได้โดยไม่ต้องรออนุญาต เช่น การถือวิสาสะ ถือเอาเพราะอาศัยความคุ้นเคย แต่การถือเอาเช่นนั้นต้องเชื่อแน่ว่า เจ้าของรู้แล้วพอใจจึงใช้ได้ นอกนั้นไม่ควรทั้งสิ้น 

(๙) ผู้ดีย่อมไม่พึงใจในหญิงที่มีเจ้าของหวงแหน หมายความว่า ตามปรกติชายหนุ่มหญิงสาว เมื่อเห็นกันเข้าก็อดชอบพอกันไม่ได้ เพราะธรรมชาติชักจูงให้เป็นเช่นนั้น แต่การทำเช่นนั้นหรือรู้สึกเช่นนั้น ควรเป็นคนโสดด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคู่ครองแล้ว ก็ไม่ควรยอมให้ความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้น หากเกิดขึ้นก็ควรข่มใจไว้ อย่าแสดงออกให้ปรากฏได้ 

   วจีจริยา หมายความถึงการประพฤติทางวาจา ได้แก่การยกเว้นความชั่วทางคำพูด 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่เป็นพาลพอใจทะเลาะวิวาท หมายความว่า ไม่ก่อการทะเลาวิวาทกับใคร ๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะโตกว่าหรือเล็กกว่า หรือมีกำลังน้อยกว่าตน เพราะการทำเช่นนั้น จะเป็นเหตุให้ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย แม้เมื่อทราบเหตุที่จะให้ต้องทะเลาะวิวาท ก็ควรระงับยับยั้งชั่งใจไว้ ถือเอาความเข้าใจดีต่อกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเป็นหลัก ทำความรักความอาลัยให้เกิดขึ้น เห็นการแตกร้าวว่าเป็นโทษ เห็นความพร้อมเพรียงว่าเป็นคุณ ควรสมัครรักใคร่กันไว้จะดีกว่า 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่พอใจนินทาว่าร้ายกันและกัน หมายความว่า ไม่ตำหนิติเตียนใครลับหลัง ถ้าจำเป็นจะต้องตำหนิติเตียนก็หาโอกาสพูดให้เขารู้ตัวต่อหน้า และในสถานที่อันเหมาะอันควร ไม่ใช้เวลาให้ล่วงไปด้วยการนินทาว่าร้ายกันและกัน ควรพูดแต่คำที่เป็นคุณ เช่น สรรเสริญเขา เป็นต้น แต่สรรเสริญนั้นควรพูดลับหลังจะดีกว่าพูดต่อหน้าอาจกลายเป็นยอไปก็ได้ 

(๓) ผู้ดีย่อมไม่พอใจพูดส่อเสียดยุยง หมายความว่า ไม่ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน ตามปรกติการยุยงอาจมีได้ด้วยผู้ยุปรารถนาจะให้เขารักตน การทำตนให้เขารักด้วยวิธีนี้เป็นวิธีการที่เลวทรามต่ำช้า ไม่ควรทำเลย พูดไปก็เสียศักดิ์ศรีตนเอง ไม่ควรแท้ 

(๔) ผู้ดีย่อมไม่เป็นผู้สอพลอประจบประแจง หมายความว่า ไม่ควรทำตนให้ผู้ใหญ่หรือใคร ๆ ชอบพอรักใคร่ด้วยวิธีการประจบสอพลอ คืออ้างเอาแต่สิ่งที่ไม่จริงมาพูด หรือคอยส่งเสริมซ้ำเติมผู้อื่นเพื่อให้ผู้ฟังพอใจรักใคร่ตน ควรเป็นผู้ทำงานตามหน้าที่ของตนให้สุดความสามารถ ถือเอางานเป็นสำคัญอย่าถือเอาประจบสอพลอเป็นหลัก ความดีที่ติดตัวนั้น อยู่ที่การทำงานตามหน้าที่ เมื่อได้ทำงานตามหน้าที่แล้ว ใครจะรู้ไม่รู้ไม่สำคัญเลย 

(๕) ผู้ดีย่อมไม่แช่งชักให้ร้ายผู้อื่น หมายความว่า ผู้ดีต้องคิดดี คือต้องปรารถนาความสุขแก่คนและสัตว์ทั่วไป ต้องมีความกรุณาปรานีให้ผู้น้อย ไม่ปรารถนาทำร้ายแก่ใครแม้เขาจะไม่เป็นไปตามปากเรา แต่ก็เป็นเครื่องแสดงน้ำใจอันร้ายกาจของเราเอง 

   มโนจริยา หมายถึงความประพฤติทางใจ ได้แก่การเว้นความชั่วทางใจ 

(๑) ผู้ดีย่อมไม่ปองร้ายผู้อื่น หมายความว่า เมื่อถูกใครว่าให้เจ็บใจ หรือถูกทำร้ายด้วยประการใด ก็ไม่ปองร้ายเขาผู้นั้น เป็นแต่เพียงเจ็บแล้วจำ พยายามมิให้มีเรื่องเช่นนั้นอีก พยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลแสนไกล หรือหาทางผูกสมัครรักใคร่กับผู้นั้นได้ก็จะดียิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการปองร้ายผู้อื่นอาจเป็นทางให้ประกอบอาชญากรรม ซึ่งจะเท่ากับทำร้ายตนเองในที่สุด 

(๒) ผู้ดีย่อมไม่คิดทำลายผู้อื่นด้วยประโยชน์ตน หมายความว่า ไม่คิดหาความสุขเหนือความทุกข์ยากของคนอื่น ไม่หาความมั่งมีเหนือความยากจนของคนอื่น ไม่หาความเป็นใหญ่ด้วยการเหยียบย่ำคนอื่น สิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่ตนแต่ต้องทำลายคนอื่น ต้องเว้นเด็ดขาด 

(๓) ผู้ดีย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง หมายความว่า ตามปรกตินั้นใจของคนมีกิเลส ย่อมแส่หาอารมณ์และส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ คือ ความรัก ความชัง ความหลง และสิ่งทั้งหลายอันแวดล้อมตนอยู่เล่า แต่ละอย่างล้วนยั่วยวนชวนให้เกิดอารมณ์ทั้งนั้น สิ่งที่ดีงามย่อมยั่วให้รัก สิ่งที่ไม่ดีงามย่อมยั่วให้ชัง สิ่งอันมีอย่างนั้นย่อมยั่วให้หลง เมื่อประสบอย่างนั้นย่อมเหนี่ยวรั้งใจไว้ไม่ให้ส่ายไปตามอารมณ์เหล่านั้น รักษาใจให้เป็นปรกติไว้อย่างนี้จึงชอบจึงควร 

(๔) ผู้ดีย่อมเป็นผู้มีความละอายแก่บาป หมายความว่า คำว่าบาป คือ ความชั่วความเสียหาย ความไม่ดี เกิดมาเป็นคนต้องศึกษาอบรมให้รู้จัก บาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ เมื่อรู้แล้วควรเว้นสิ่งอันเป็นโทษเสีย แม้ใจเห็นผิดคิดเห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นผิดเป็นชอบก็ควรละอายต่อสิ่งอันเป็นบาปบ้าง ไม่ควรทำบาปด้วยอาการอันหน้าด้าน ควรงดเว้นให้ห่างไกล เว้นได้เป็นศรีแก่ตนเอง

สมบัติของผู้ดี 
ผู้เรียบเรียง เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราบดี 

ผู้จัดทำคำอธิบายเพิ่มเติม ม.ล.ป้อง มาลากุล ๒๕๐๓ 
ผู้ตรวจทาน นายสุชีพ ปุญญานุภาพ

Facebook

Copyright © 2560 คณะสงฆ์ธรรมยุตในประเทศสหรัฐอเมริกา THE DHAMMAYUT ORDER IN THE UNITED STATES OF AMERICA.